Monday, August 29, 2005

เรื่องจริงหรือติงนัง: ดาวอังคารดวงเท่าพระจันทร์!

ผมเชื่อว่าทุกคนที่มีอีเมล์ (และมีคนรู้จัก) คงเคยได้รับ forwarded mail ที่ส่งต่อๆกันมา โดยไม่ทราบที่มา กันมาแล้วทั้งนั้น จดหมายอีเล็คโทรนิคเหล่านี้มาในหลายรูปแบบ ทั้งรูปสวยๆงามๆ เรื่องขำขัน เกร็ดความรู้น่าสนใจ เรื่องเล่าสะเทือนใจ คำเตือนต่างๆ เมล์ขอความช่วยเหลือ รวมไปถึงจดหมายลูกโซ่ ที่ถ้าใครไม่ส่งต่อไปให้จะแช่งท้องเสียจู๊ดๆในสามวันเจ็ดวัน

สมัยก่อนตอนที่ผมใช้ modem และเมล์ที่ไม่ใช่ web-based โหลดเมล์ทีแทบจะทุบเครื่องทิ้งเมื่อรู้ว่า ไอ้เมล์ที่เรานั่งรอมันโหลดตั้งนานเนี่ยเป็นจดหมายลูกโซ่ พร้อม attachment ขนาดใหญ่

แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ ถ้าเราคุยเรื่องที่เราได้รับทางอีเมล์กับคนอื่นๆ ทุกคนดูเหมือนจะรู้ว่าเราพูดถึงเรื่องอะไร แปลว่าไม่ใช่เราคนเดียวที่ได้รับอีเมล์เหล่านี้ แต่ขอบเขตการเข้าไปถึงของอีเมล์พวกนี้กว้างมากเลยทีเดียว ทำให้นึกถึงทฤษฏี six degrees of separation ที่บอกว่า เราสามารถเชื่อมคนทุกคนในโลกได้ด้วยห่วงโซ่ของคนรู้จักกันไม่เกินห้าคน

คือประมาณว่า ถ้าเราไปเจอใครสักคนบนถนน แล้วนั่งคุยกันแล้วไล่ดูดีๆ จะพบว่าเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของนายคนนั้นต้องรู้จักเราแน่ๆ

เมื่อไม่นานมานี้ ผมก็ได้จดหมายเกี่ยวกับดาวอังคาร ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แน๊ รู้ละสิครับว่าผมพูดถึงอะไร เห็นมะครับความน่ากลัวของอินเตอร์เน็ต

เขาบอกประมาณว่า วันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมานี้ ดาวอังคารจะใกล้โลกที่สุดในรอบหลายพันปี บางคนพูดเวอร์ไปถึงว่า ดาวอังคารจะใหญ่เท่าพระจันทร์ และบนท้องฟ้าจะดูเหมือนมีพระจันทร์สองดวงเลยทีเดียว

และลงท้ายอีเมล์ว่า And finally, "NO ONE ALIVE TODAY WILL EVER SEE THIS AGAIN."

ฟังดูแล้วน่าสนใจดีนะครับ แต่น่าเสียดายที่เกือบทั้งหมด (ยกเว้นส่วนที่บอกว่า ดาวอังคารจะใกล้โลกที่สุด) เป็นเรื่องของข้อความที่โดนบิดเบือน ทำให้คนเข้าใจผิด (เหมือนกับที่คนตกใจคิดว่ามีมนุษย์ต่างดาวบุกโลก ตอนที่ละครทางวิทยุเรื่อง Wars of the World กระจายเสียงทางสถานีวิทยุตอนปี 1938) NASA ยังออกมาเตือนเลยครับ ว่าเรื่องนี้ไม่จริง

แต่ไม่ได้หมายความว่า มีคนแต่งอีเมล์นี้ขึ้นมาเล่นๆ และไม่มีอะไรจริงเลยนะครับ คนที่ติดตามเรื่องดาราศาสตร์ หรือคนที่เคยได้รับอีเมล์นี้มาแล้วคงจะพอจำได้ว่า เรื่องดาวอังคารดูใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี เกิดขึ้นเมื่อสองปีที่แล้วครับ ซึ่งเป็นเรื่องจริง และมีคนส่งอีเมล์ต่อๆกันว่าให้คอยดูดาวอังคารให้ดี เพราะดาวอังคารจะใกล้โลกที่สุด เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2003

พอมาปีนี้ คนคงไปเจออีเมล์ที่ส่งๆกันมาเมื่อสองปีก่อน แล้วเอามาส่งต่อกันไปอีก

ผมเข้าใจว่า ข้อความครั้งแรกๆเนี่ย เขาบอกว่างี้ครับ

The Red Planet is about to be spectacular! This month and next, Earth is catching up with Mars in an encounter that will culminate in the closest approach between the two planets in recorded history. The next time Mars may come this close is in 2287. Due to the was Jupiter's gravity tugs on Mars and perturbs its orbit, astronomers can only be certain that Mars has not come this close to Earth in the Last 5,000 years, but it may be as long as 60,000 years before it happens again.

The encounter will culminate on August 27th [2003] when Mars comes to within 34,649,589 miles of Earth and will be (next to the moon) the brightest object in the night sky. It will attain a magnitude of -2.9 and will appear 25.11 arc seconds wide. At a modest 75 power magnification Mars will look as large as the full moon to the naked eye. Mars will be easy to spot. At the beginning of August it will rise in the east at 10p.m. and reach its azimuth at about 3 a.m. By the end of August when the two planets are closest, Mars will rise at nightfall and reach its highest point in the sky at 12:30a.m. That's pretty convenient to see something that no human being has seen in recorded history. So, mark your calendar at the beginning of August to see Mars grow progressively brighter and brighter throughout the month.


ซึ่งผมว่าเป็นความจริงทั้งหมด แต่อ่านแล้วไม่ค่อยตื่นเต้นเนอะ ผมว่าไอ้ตัวที่ทำให้คนเข้าใจผิดกันไปใหญ่นี่คือตรงที่บอกว่า "At a modest 75 power magnification Mars will look as large as the full moon to the naked eye"

แปลเป็นไทยได้ว่า ถ้าเอากล้องดูดาวกำลังขยาย 75 เท่าส่องดู ดาวอังคารจะใหญ่เท่ากับดูพระจันทร์ด้วยตาเปล่า

75 เท่านี่ไม่ใช่น้อยๆนะครับ เทียบเล่นๆว่า ขยายภาพที่ยาวแค่หนึ่งเซนติเมตร ให้ดูเหมือนยาว 75 เซนติเมตร หรือส่องมดให้ดูแล้วตัวเท่าหมา แต่เป็นขนาดกำลังขยายปกติของกล้องดูดาวครับ

บางคนคงเอาข้อความนี้ไปส่งให้เพื่อน แล้วกะให้เพื่อนสนใจเลยบอกว่า ดาวอังคารจะใหญ่เท่าพระจันทร์! พอคนได้ยินก็เลยส่งต่อไปอีกว่า บนท้องฟ้าจะมีพระจันทร์สองดวง ว่าเข้าไปนั่น

อย่าลืมนะครับ ว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ดาวอังคารก็โคจรรอบดวงอาทิตย์กะโลกด้วย ถ้าดาวอังคารจะใหญ่เท่าพระจันทร์ในอีกวันสองวันเราต้องเห็นมันใหญ่เกือบเท่านั้นตั้งแต่วันนี้แล้วครับ

ใครสนใจ ลองดูความเร็วการโคจรของโลกเมื่อเทียบกับดาวดวงอื่นๆจากภาพข้างล่างครับ

<A HREF="http://www.space.com/media/b030102_marsearth_2.mov">Play with QuickTime Player.</A>

ที่มา http://www.space.com/scienceastronomy/mars_orbit_030121-1.html

ส่วนปีนี้ดาวอังคารจะใกล้โลกที่สุดในรอบปีตอนช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนครับ เพราะโลกกับดาวอังคารจะมาอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกันพอดี เพราะโลกใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ไม่เท่ากับดาวอังคาร ทำให้ตำแหน่งที่โลกจะมาอยู่ตำแหน่งตรงข้ามกับดาวอังคารเลยไม่ตรงกันในแต่ละปี บังเอิญว่าปี 2003 และ ปีนี้ โลกไล่ทันดาวอังคารด้านที่ทำให้ดาวทั้งสองดวงอยู่ตำแหน่งใกล้กัน

แต่ขนาดของดาวอังคารปีนี้ก็ไม่ได้เล็กกว่าขนาดที่คนอื่นเห็นเมื่อปี 2003 เท่าไรหรอกครับ

ช่วงนี้ก็เริ่มมองเห็นแล้วดาวอังคารแล้วละครับ และดาวอังคารจะใหญ่ขึ้นเรื่อยจนถึงสิ้นเดือนตุลาคมนู้น ใครสนใจเริ่มมองหาดาวเคราะห์สีแดงบนท้องฟ้าได้แล้วนะครับ ช่วงนี้ดาวอังคารน่าจะขึ้นสักห้าทุ่ม สังเกตทางท้องฟ้าด้านตะวันออกนะครับ

พอดีเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมไปนอนเต๊นท์ดูดาวริมทะเล เลยกะว่าจะดูสักหน่อย ว่าดาวอังคารดวงใหญ่เท่าพระจันทร์หน้าตาเป็นไง แต่โชคร้าย ฟ้าปิด ผมเลยนั่งดวดเบียร์ ร้องเพลงกับเพื่อนๆแทน จนดึกๆเกือบเที่ยงคืน เดินไปแปรงฟัน ถึงได้สังเกตว่ามีดาวสีแดง ขนาดเท่าขี้แมงวัน ขึ้นทางขอบฟ้าด้านตะวันออก (ถ้าผมเอาแว่นขยาย ขนาดกำลังขยาย 75 เท่า มาส่องดู มันต้องใหญ่เกือบเท่าพระจันทร์แน่ๆ) เจ้าดาวดวงนั้นแหละครับดาวอังคาร

ถ้าอยากดูว่าช่วงนี้มีอะไรน่าสนใจบนท้องฟ้า ก็ลองเช็ค This Week's Sky at a Glance ดูแล้วคอยสังเกตท้องฟ้าคืนนี้ดูนะครับ




ว้า...แล้วถ้างั้น เวลาเราได้เมล์ forward มาจะเชื่อและส่งต่อดีหรือเปล่าละครับ

ผมว่าก็ใช้วิจารณญาณดูแล้วคิดก่อนส่งให้เพื่อนอ่านละกันครับ เพราะว่ามันอยู่บนอินเตอร์เน็ท ไม่ได้แปลว่ามันจริงเสมอไปนะครับ (แต่บางเรื่องก็น่าเชื่อจริงๆนะครับ เช่นเรื่องแมวบอนไซ ซึ่งเป็นที่รู้ๆกันแล้ว ว่าเรื่องโจ๊กล้วนๆ แต่ก็มีคนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงขั้นฟ้องร้องกันเลย)

ใครอยากรู้ว่าเรื่องที่ตัวเองเคยได้อีเมล์มาเป็นเรื่องจริงหรือติงนัง ลองเข้าไปดูเวบนี้ครับ http://hoaxbusters.ciac.org/ อาจจะพบว่าเรื่องบางเรื่องที่เราหลงเชื่อตั้งนาน เป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้นเอง

แต่บางเรื่องก็ยากที่จะพิสูจน์เหมือนกันนะครับ เช่น พวกเมล์ที่ขอความช่วยเหลือทั้งหลาย เช่นบริจาคเลือด ฯลฯ ถ้าสามารถตรวจสอบได้ ก็ตรวจสอบก่อนส่งต่อดีกว่าครับ ถ้าตรวจสอบไม่ได้ แต่มันสำคัญมากๆส่งไปก่อนคงไม่เดือดร้อนอะไร

แต่พวกเมล์ประเภท ช่วงส่งกันหน่อย แล้วจะมีคนให้เงิน 1 บาท ทุกๆเมล์ที่เราส่งต่อไปนี่ อย่าไปเชื่อเลยครับ มันไม่มีทางเช็คได้หรอกครับ ว่าเมล์ส่งไปกี่คนแล้ว แล้วถ้าคนให้จะใจดีให้เงิน คงไม่ต้องบังคับให้ส่งเมล์ให้ชาวบ้านรุมด่าหรอกครับ

ส่วนจดหมายลูกโซ่ก็...ตัวใครตัวมันแล้วกันครับ ผมไม่เชื่อแต่ผมไม่ลบหลู่ แล้วก็ไม่ส่งต่อด้วย

แต่มีคนบอกนะครับ อย่าไปหงุดหงิดรำคาญใจเลย ถ้าเราได้เมล์ forward มาบ่อยๆ เพราะมันแปลว่า เรายังมีคนคิดถึงและคอยเป็นห่วง...


...หรือไม่ก็อยากให้ขี้ไหลจู๊ดๆอยู่

Tuesday, August 23, 2005

Home of the Underdogs

ผมไปเจอเวบ Home of the Underdogs เข้าโดยบังเอิญครับ เป็นเวบที่เก็บเกมเก่าๆที่ฮิตกันสมัยก่อน ทำให้ผมเกิด flashback อย่างรุนแรงครับ

ผมจำได้ว่า ครั้งแรกที่ผมสัมผัสเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรกเนี่ย คือตอนผมอยู่ ป.3-ป.4 นู้น คุณพ่อพาผมไปเล่นที่ห้องพักที่ทำงาน เครื่องคอมพิวเตอร์สมัยนั้นเป็นยุคของคอมพิวเตอร์ใช้ processor รุ่น 8088 หรือเรียกกันว่าเครื่อง XT เป็นเครื่อง personal computer รุ่นแรกๆเลยละครับ (คนรุ่นผม คงจำได้ว่า รหัส processor ของคอมพิวเตอร์ พัฒนาเป็น AT 286 แล้วก็ 386, 486, 486DX, 486SX (ใช่เปล่าหว่า) แล้วก็กลายมาเป็นรหัส pentium และอื่นๆอีกมากมาย)

สมัยนั้น จอยังเป็น monochrome สีเขียว บางทีผมเล่นคอมนานจนมองอะไร อะไร สีขาว กลายเป็นสีชมพูไปหมดเลยละครับ (ขอนอกเรื่องนิดนึง สงสัยไหมครับว่าทำไมเวลามองจอ monochrome สีเขียวนานๆแล้วมองอย่างอื่นสีขาวๆกลายเป็นสีชมพู? นี่เป็น illusion อีกอย่างนึงครับ ลองดูภาพข้างล่างนะครับ แล้วจ้องเครื่องหมายบวกไว้นะครับ ดูสิครับว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อย่าจ้องนานนะครับ เดี๋ยวอ้วกได้)


(ที่มา http://www.confusedyeti.com/2005/08/05/cool-optical-illusion)

อ่ะ กลับเข้าเรื่องครับ

ผมจำได้ว่า สิ่งแรกที่ผมทำบนคอมพิวเตอร์สมัยนั้น คือเอาไว้เล่นเกมครับ เกมแรกที่เล่นคือเกม digger ครับ เป็นเกมสุดคลาสสิคยอดนิยมสมัยก่อน เราเป็นคนคุมเจ้ารถขุดดิน เพื่อนไปเก็บเพชรและทอง ระหว่างทางก็ต้องหนีหรือฆ่าเจ้าปิศาจไปเรื่อยๆ พอเก็บเพชรหมดก็ผ่านไปฉากถัดไป

สมัยก่อนนี้เล่นแล้วมันสนุกจริงๆครับ มันเป็นหนึงในแรงบันดาลใจให้ผมเล่นคอมพิวเตอร์มาจนถึงทุกวันนี้

ใครอยากลองเล่นลองไปดูที่นี่นะครับ เขาทำเวอร์ชั่น java เอาไว้ แม้ว่าเกมจะไม่ได้มีกราฟฟิคหรูหราตระการตา แต่ผมว่ามันก็ยังสนุกอยู่นะครับ

พอระบบปฏิบัติการยอดนิยมกลายเป็น windows ไป ผมก็ไม่ได้เห็นเจ้าเกมนี้อีก จนมาได้เจอบนเวบนี้ครับ

แล้วผมก็ประหลาดใจเข้าไปอีกครับ เมื่อพบว่าคนก่อตั้งเวบ Home of the Underdog นี้เป็นคนไทย คือคุณ Sarinee Achavanuntakul เจ้าของบลอก คนชายขอบ ครับ ขออนุญาต นำมาโฆษณาหน่อยนะครับ รู้สึกทึ่ง และชื่นชมครับ

ใครติดใจเกมอะไร ลองไปหาดู แล้วมาเล่าสู่กันฟังหน่อยนะครับ

Wednesday, August 17, 2005

'You've got to find what you love'

วันก่อนคุณปริเยศ (ไม่รู้ blog แกหายไปไหนแล้ว) มาแนะนำให้ไปอ่านคำปาฐกถาของ Steve Jobs ผมไปอ่านแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจดีครับ เลยเอาฝากแบ่งกันอ่าน

ผมว่าบลอกผมคงไม่มีเด็กๆมาอ่านหรอกนะ แต่ถ้ามี ก็อยากบอกว่า อย่าเพิ่งรีบ drop out เลียนแบบลุงแกไปละ ไม่ใช่ทุกคนทำได้แบบนี้นะครับ

Stanford Report, June 14, 2005

'You've got to find what you love,' Jobs says

This is the text of the Commencement address by Steve Jobs, CEO of Apple Computer and of Pixar Animation Studios, delivered on June 12, 2005.

I am honored to be with you today at your commencement from one of the finest universities in the world. I never graduated from college. Truth be told, this is the closest I've ever gotten to a college graduation. Today I want to tell you three stories from my life. That's it. No big deal. Just three stories.

The first story is about connecting the dots.

I dropped out of Reed College after the first 6 months, but then stayed around as a drop-in for another 18 months or so before I really quit. So why did I drop out?

It started before I was born. My biological mother was a young, unwed college graduate student, and she decided to put me up for adoption. She felt very strongly that I should be adopted by college graduates, so everything was all set for me to be adopted at birth by a lawyer and his wife. Except that when I popped out they decided at the last minute that they really wanted a girl. So my parents, who were on a waiting list, got a call in the middle of the night asking: "We have an unexpected baby boy; do you want him?" They said: "Of course." My biological mother later found out that my mother had never graduated from college and that my father had never graduated from high school. She refused to sign the final adoption papers. She only relented a few months later when my parents promised that I would someday go to college.

And 17 years later I did go to college. But I naively chose a college that was almost as expensive as Stanford, and all of my working-class parents' savings were being spent on my college tuition. After six months, I couldn't see the value in it. I had no idea what I wanted to do with my life and no idea how college was going to help me figure it out. And here I was spending all of the money my parents had saved their entire life. So I decided to drop out and trust that it would all work out OK. It was pretty scary at the time, but looking back it was one of the best decisions I ever made. The minute I dropped out I could stop taking the required classes that didn't interest me, and begin dropping in on the ones that looked interesting.

It wasn't all romantic. I didn't have a dorm room, so I slept on the floor in friends' rooms, I returned coke bottles for the 5? deposits to buy food with, and I would walk the 7 miles across town every Sunday night to get one good meal a week at the Hare Krishna temple. I loved it. And much of what I stumbled into by following my curiosity and intuition turned out to be priceless later on. Let me give you one example:

Reed College at that time offered perhaps the best calligraphy instruction in the country. Throughout the campus every poster, every label on every drawer, was beautifully hand calligraphed. Because I had dropped out and didn't have to take the normal classes, I decided to take a calligraphy class to learn how to do this. I learned about serif and san serif typefaces, about varying the amount of space between different letter combinations, about what makes great typography great. It was beautiful, historical, artistically subtle in a way that science can't capture, and I found it fascinating.

None of this had even a hope of any practical application in my life. But ten years later, when we were designing the first Macintosh computer, it all came back to me. And we designed it all into the Mac. It was the first computer with beautiful typography. If I had never dropped in on that single course in college, the Mac would have never had multiple typefaces or proportionally spaced fonts. And since Windows just copied the Mac, its likely that no personal computer would have them. If I had never dropped out, I would have never dropped in on this calligraphy class, and personal computers might not have the wonderful typography that they do. Of course it was impossible to connect the dots looking forward when I was in college. But it was very, very clear looking backwards ten years later.

Again, you can't connect the dots looking forward; you can only connect them looking backwards. So you have to trust that the dots will somehow connect in your future. You have to trust in something - your gut, destiny, life, karma, whatever. This approach has never let me down, and it has made all the difference in my life.

My second story is about love and loss.

I was lucky ? I found what I loved to do early in life. Woz and I started Apple in my parents garage when I was 20. We worked hard, and in 10 years Apple had grown from just the two of us in a garage into a $2 billion company with over 4000 employees. We had just released our finest creation - the Macintosh - a year earlier, and I had just turned 30. And then I got fired. How can you get fired from a company you started? Well, as Apple grew we hired someone who I thought was very talented to run the company with me, and for the first year or so things went well. But then our visions of the future began to diverge and eventually we had a falling out. When we did, our Board of Directors sided with him. So at 30 I was out. And very publicly out. What had been the focus of my entire adult life was gone, and it was devastating.

I really didn't know what to do for a few months. I felt that I had let the previous generation of entrepreneurs down - that I had dropped the baton as it was being passed to me. I met with David Packard and Bob Noyce and tried to apologize for screwing up so badly. I was a very public failure, and I even thought about running away from the valley. But something slowly began to dawn on me — I still loved what I did. The turn of events at Apple had not changed that one bit. I had been rejected, but I was still in love. And so I decided to start over.

I didn't see it then, but it turned out that getting fired from Apple was the best thing that could have ever happened to me. The heaviness of being successful was replaced by the lightness of being a beginner again, less sure about everything. It freed me to enter one of the most creative periods of my life.

During the next five years, I started a company named NeXT, another company named Pixar, and fell in love with an amazing woman who would become my wife. Pixar went on to create the worlds first computer animated feature film, Toy Story, and is now the most successful animation studio in the world. In a remarkable turn of events, Apple bought NeXT, I retuned to Apple, and the technology we developed at NeXT is at the heart of Apple's current renaissance. And Laurene and I have a wonderful family together.

I'm pretty sure none of this would have happened if I hadn't been fired from Apple. It was awful tasting medicine, but I guess the patient needed it. Sometimes life hits you in the head with a brick. Don't lose faith. I'm convinced that the only thing that kept me going was that I loved what I did. You've got to find what you love. And that is as true for your work as it is for your lovers. Your work is going to fill a large part of your life, and the only way to be truly satisfied is to do what you believe is great work. And the only way to do great work is to love what you do. If you haven't found it yet, keep looking. Don't settle. As with all matters of the heart, you'll know when you find it. And, like any great relationship, it just gets better and better as the years roll on. So keep looking until you find it. Don't settle.

My third story is about death.

When I was 17, I read a quote that went something like: "If you live each day as if it was your last, someday you'll most certainly be right." It made an impression on me, and since then, for the past 33 years, I have looked in the mirror every morning and asked myself: "If today were the last day of my life, would I want to do what I am about to do today?" And whenever the answer has been "No" for too many days in a row, I know I need to change something.

Remembering that I'll be dead soon is the most important tool I've ever encountered to help me make the big choices in life. Because almost everything ? all external expectations, all pride, all fear of embarrassment or failure - these things just fall away in the face of death, leaving only what is truly important. Remembering that you are going to die is the best way I know to avoid the trap of thinking you have something to lose. You are already naked. There is no reason not to follow your heart.

About a year ago I was diagnosed with cancer. I had a scan at 7:30 in the morning, and it clearly showed a tumor on my pancreas. I didn't even know what a pancreas was. The doctors told me this was almost certainly a type of cancer that is incurable, and that I should expect to live no longer than three to six months. My doctor advised me to go home and get my affairs in order, which is doctor's code for prepare to die. It means to try to tell your kids everything you thought you'd have the next 10 years to tell them in just a few months. It means to make sure everything is buttoned up so that it will be as easy as possible for your family. It means to say your goodbyes.

I lived with that diagnosis all day. Later that evening I had a biopsy, where they stuck an endoscope down my throat, through my stomach and into my intestines, put a needle into my pancreas and got a few cells from the tumor. I was sedated, but my wife, who was there, told me that when they viewed the cells under a microscope the doctors started crying because it turned out to be a very rare form of pancreatic cancer that is curable with surgery. I had the surgery and I'm fine now.

This was the closest I've been to facing death, and I hope its the closest I get for a few more decades. Having lived through it, I can now say this to you with a bit more certainty than when death was a useful but purely intellectual concept:

No one wants to die. Even people who want to go to heaven don't want to die to get there. And yet death is the destination we all share. No one has ever escaped it. And that is as it should be, because Death is very likely the single best invention of Life. It is Life's change agent. It clears out the old to make way for the new. Right now the new is you, but someday not too long from now, you will gradually become the old and be cleared away. Sorry to be so dramatic, but it is quite true.

Your time is limited, so don't waste it living someone else's life. Don't be trapped by dogma - which is living with the results of other people's thinking. Don't let the noise of others' opinions drown out your own inner voice. And most important, have the courage to follow your heart and intuition. They somehow already know what you truly want to become. Everything else is secondary.

When I was young, there was an amazing publication called The Whole Earth Catalog, which was one of the bibles of my generation. It was created by a fellow named Stewart Brand not far from here in Menlo Park, and he brought it to life with his poetic touch. This was in the late 1960's, before personal computers and desktop publishing, so it was all made with typewriters, scissors, and polaroid cameras. It was sort of like Google in paperback form, 35 years before Google came along: it was idealistic, and overflowing with neat tools and great notions.

Stewart and his team put out several issues of The Whole Earth Catalog, and then when it had run its course, they put out a final issue. It was the mid-1970s, and I was your age. On the back cover of their final issue was a photograph of an early morning country road, the kind you might find yourself hitchhiking on if you were so adventurous. Beneath it were the words: "Stay Hungry. Stay Foolish." It was their farewell message as they signed off. Stay Hungry. Stay Foolish. And I have always wished that for myself. And now, as you graduate to begin anew, I wish that for you.

Stay Hungry. Stay Foolish.

Thank you all very much.

Monday, August 15, 2005

Fibonacci numbers

0 1 1 2 3 5 8 13 21 34 55 89 .....

เอ...แล้วเลขอะไรต่อน้า...

อ้อ ช่ายแล้ว 144 ครับ

ความสัมพันธ์ของเลขชุดนี้ก็คือ เลขตัวต่อไป เป็นผลบวกของเลขสองตัวก่อนหน้า หรือเขียนในรูปอนุกรมได้ว่า F(n+1)=F(n)+F(n-1)

อืม แล้วมันทำไมเหรอครับ ก็เขาว่ากันว่าเจ้าเลขชุดนี้เนี่ย เป็นเลขชุดที่มหัศจรรย์ที่สุด สวยงามที่สุด และแปลกประหลาดที่สุดเลยทีเดียวละครับ และเราจะพบเจ้าเลขชุดนี้ และ limit ของมันทั้งในธรรมชาติ ต้นไม้ ดอกไม้ ศิลปะ ภาพถ่าย สถาปัตยกรรม รวมไปถึงร่างกายของเราซะด้วย

เชื่อไหมละครับ ว่ามีวารสารทางคณิตศาสตร์เพื่อศึกษาเจ้าเลขชุดนี้โดยเฉพาะเลยทีเดียว ชื่อ The Fibonacci Quarterly

มันเป็นยังไงเหรอครับ อ่ะ เริ่มฟังน่าสนใจยังครับ เอ้า ล้อมวงเข้ามาอีกทีครับ ผมจะเล่าให้ฟัง

เจ้าเลขชุดนี้โด่งดังมาจาก นักคณิตศาสตร์ชาวเมือง Pisa คนนึง ชื่อ Leonardo of Pisano หรือ Fibonacci (ซึ่งแปลว่า ลูกของนาย Bonacci) เขาเขียนเรื่องเกี่ยวกับเจ้าเลขอนุกรมนี้ไว้ในหนังสือชื่อ Liber Abaci (แปลว่า Book of the Abacus or Book of Calculating ครับ) ตั้งแต่สมัยต้นคริสตศตวรรษที่ 13 นู้น

เขาตั้งคำถามว่า ถ้าคนเลี้ยงกระต่ายคนหนึ่งมีกระต่ายอยู่หนึ่งคู่ ถ้าเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เขาจะมีกระต่ายทั้งหมดกี่คู่ ถ้ากระต่ายออกลูกมาเดือนละหนึ่งคู่ และกระต่ายใช้เวลาสองเดือนถึงจะออกลูกครั้งแรกได้ และสมมุติกระต่ายเหล่านี้เป็นกระต่ายพลังม้า เมื่อครบสองเดือนกระต่ายแต่ละคู่จะออกลูกทุกเดือน เดือนละหนึ่งคู่ และไม่ตายเลย (และกระต่ายเหล่านี้เป็นกระต่าย ผัวเดียวเมียเดียวนะครับ)

จะเห็นได้ว่าจำนวนกระต่ายออกมาเป็นอนุกรมที่อ้างไว้ข้างบน คือ 1 1 2 3 5 8 13 ... และ ถ้าสังเกตดีๆจะพบว่า จำนวนกระต่ายในเดือนนี้ จะเท่ากับผลบวกของจำนวนกระต่ายสองเดือนก่อนหน้าพอดี....

แต่ไม่ได้หมายความว่า นาย Fibonacci เป็นคนค้นพบเลขชุดนี้นะครับ ว่ากันว่า ก่อนหน้าที่นาย Fibonacci จะตีพิมพ์งานนี้ ก็มีนักคณิตศาสตร์ชาวอินเดีย พูดถึงเจ้าเลขชุดนี้แล้ว

ถ้าเอาเลขแต่ละตัวหารด้วยตัวก่อนหน้ามัน จะพบว่า สัดส่วนนี้มัน converge ครับ ใครเคยเรียน `ดิฟอีเควฯ' มาคงบอกว่า หมูๆ ก็แค่สมมุติให้ lim F(n)/F(n-1)=L แล้วเอา F(n) หารอนุกรมข้างบน จะได้ F(n+1)/F(n)=1+F(n-1)/F(n) อัด lim เข้าไป จะได้ L=1+1/L หรือ L^2-L-1=0 แก้สมการนี้ ได้ L=(1+sqrt(5))/2 กับ (1-sqrt(5))/2 หรือ ประมาณ 1.6180339887 (เอาแค่ค่าบวกอย่างเดียว) เขาเรียกเจ้า limit นี้ว่า Phi (ไฟใหญ่) ครับ

ความมหัศจรรย์อันแรกคือ 1/Phi=0.6180339887 อ๊ะ ทำไมเลขหลังจุดทศนิยมมันเหมือนกันหมดเลย ไม่น่าเชื่อ (จริงๆแล้วใครดูสมการข้างบนดีๆก็คงพอรู้ว่ามันมาได้ไง) เขาเรียกเจ้าค่านี้ว่า phi (ไฟเล็ก) ครับ

ฟังๆดูอาจรู้สึกว่า มันก็เลขอนุกรมธรรมดาๆชุดนึง เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังครับ ว่ามันไม่ธรรมดายังไง

ว่ากันว่าเจ้าเลขชุดนี้เนี่ยพบได้ทั่วไปในธรรมชาติครับ

ก่อนอื่น ลองเอาสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาด 1x1 มาต่อกัน แล้วเอาสี่เหลี่ยมจตุรัสอีกอันมาประกบด้านยาว แล้วเอาสี่เหลี่ยมจตุรัสมาโปะอีกไปเรื่อยๆ เราจะพบว่าขนาดของสี่เหลี่ยมจตุรัสที่เราเอามาต่อ จะมีขนาด 2x2 3x3 5x5 8x8 13x13 21x21 .... เอ เลขชุดนี้คุ้นๆไหมครับ แล้วถ้าเราลาก quarter ของวงกลมภายในสี่เหลี่ยมแต่ละรูปเหล่านี้ เราจะได้รูปข้างล่างครับ



เอ..มันรูปอะไรนะ คุ้นๆ



ช่ายแล้วครับ เปลือกหอยนั่นเอง

นอกจากนี้ นักคณิตศาสตร์ว่างงาน ที่ชอบศึกษารูปแบบของพืช (ศาสตร์การศึกษารูปแบบของพืชพวกนี้ เรียกว่า Phyllotaxis ครับ ใครสนใจลองกดเข้าไปดูได้ครับ สนุกดี) ยังไปนั่งจ้องดอกกระหล่ำ เกสรดอกทานตะวัน ลูกสน หรือแม้กระทั่ง สับปะรด แล้วพบว่า เจ้าพืชพวกนี้ส่วนใหญ่ (ไม่ใช่ทั้งหมดนะครับ) มีจำนวนเกลียว (หรือ spiral) เท่ากับเจ้าเลข fibonacci เสียด้วย (ผมก็บ้าไปจ้องกับเขามาแล้วครับ)

ลองดูกันเล่นๆครับ ที่บ้านใครมีดอกกระหล่ำ ลูกสน หรือสับปะรด ลองไปหยิบมาดูนะครับ

cauliflower

เขาบอกว่า ถ้านับจำนวนเกลียวของเจ้าดอกกระหล่ำลูกนี้ วนไปทางขวา จะได้ 5 เกลียวครับ ดูออกไหมครับ ถ้าไม่ออกลองกดปุ่มนี้ดูสิครับ
อ่ะ แล้วนับเกลียววนซ้ายบ้าง นับได้ 8 เกลียวครับ ดูไม่ออกเหรอครับ กดปุ่มข้างล่างนี้ดูครับ
หนุกดีครับ ว่างๆไปนั่งนับดูนะครับ (อันนี้ลอกมาจาก http://www.mcs.surrey.ac.uk/Personal/R.Knott/Fibonacci/fibnat.html ครับ


นอกจากนี้แล้ว ยังพบอีกว่า จำนวนกลีบดอกไม้ จำนวนยอดของต้นไม้ ความยาวของต้นไม้ ยังสอดคล้องกับเจ้าเลขชุดนี้อย่างประหลาด ลองไปดูที่เวบนี้สิครับ บางอันผมว่าเป็นเรื่องบังเอิญนะ แต่ดูแล้วก็น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

ยังครับ ยังไม่หมด

เจ้าเลขชุดนี้ และลิมิตของมันยังถูกพบเห็นทั่วไปในงานศิลปะ สถาปัตยกรรม และดนตรีอีกด้วย

ถ้าใครเคยถ่ายรูป หรือวาดภาพ คงจะชินกันกฎ rule of third หรือจุดตัดเก้าช่องเป็นอย่างดี ท่านผู้รู้เขาบอกไว้ว่า เวลาเราจัดองค์ประกอบของรูป อย่าเอาจุดสนใจ หรือขอบฟ้าไว้ตรงกลางภาพเด๊ะ ให้ลองลากเส้นแบ่งรูปออกเป็น 9 ส่วน แล้วพยายามเอาจุดสนใจของภาพไว้ตรงจุดตัดของเส้น

มีคนบอกครับ ว่าไอ้ rule of third เนี่ย มาจากเจ้าเลขชุดนี้นี่เอง เชื่อไหมละครับ

สมมุติว่าเรามีเส้นตรงเส้นนึง เราจะแบ่งเส้นตรงเส้นนี้ออกเป็นสองส่วนยังไง โดยให้ AC:CB=AB:AC?

ลองคิดเล่นๆดูจะพบว่า เจ้าอัตราส่วนที่ได้มาเนี่ยคือ 1.618... หรือ เจ้าไฟใหญ่ที่เราเจอข้างบนพอดี และเราจะได้ส่วน AC:AB=phi หรือเจ้าไฟเล็กนี่เอง(ลองไปคิดเป็นการบ้านนะครับ ว่าออกมากลายเป็นไฟใหญ่ได้ยังไง)

ว่ากันว่าไอ้เจ้าอัตราส่วนนี้เนี่ย เป็นการแบ่งเส้นตรงที่ "สวยงามที่สุด" แต่บังเอิญว่า เจ้าไฟเล็ก หรือ 0.618 เนี่ย ใกล้เคียงกับ 2/3 เขาเลยตั้งเป็นกฎง่ายๆว่า rule of third ซะเลย

พบว่ามีการใช้เจ้าอัตราส่วนนี้ในงานศิลปะเต็มไปหมด ตั้งแต่สมัยก่อน ทั้ง ปิรามิดที่อียิปต์ วิหาร Parthenon Leonardo da Vinci ถึงกับเรียกเจ้าอัตราส่วนนี้ว่า "อัตราส่วนทอง" (golden ratio, golden section) เลยครับ Leonardo da Vinci เองก็ใช้เจ้าอัตราส่วนนี้ในภาพวาดหลายๆภาพของเขา ส่วน Luca Pacioli นักคณิตศาสตร์ยุค renaissance เรียกเจ้าสัดส่วนนี้ว่าว่า the Divine Proportion เลยทีเดียวครับ

ยังมีเจ้าสัดส่วนนี้อยู่รอบๆตัวเราอีกครับ ถ้าวาดรูปดาวห้าเหลี่ยมด้านเท่า ลองเดาสิครับว่าอัตราส่วนระหว่างสีทองกับสีแดงในรูปจะออกมาเป็นเท่าไร

ลองหยิบบัตรเครดิตในกระเป๋าตังค์ออกมาแล้ววัดขนาดด้านยาวกับด้านสั้น ลองหารกันดู แล้วเดาสิครับว่าจะได้อัตราส่วนใกล้เคียงกับอะไร?

ยังอีกครับ ยังไม่หมด คนช่างสังเกตยังบอกอีกครับ เรายังเจอเจ้าอัตราส่วนนี้ในตัวของเราเองอีกครับ ทั้งใบหน้า ขนาดของร่างกาย มือและนิ้ว หรือแม้แต่ขนาดของเกลียว DNA! เวอร์หรือเปล่าไม่รู้ครับ ไปดูกันเอาเอง (โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม)


อ่านมาจนจบเริ่มรู้สึกว่า เหมือนอ่าน conspiracy theory หรือเปล่าครับ (ใครอ่าน Da Vinci's Code คงรู้สึกว่าคุ้นๆ) ทั้งหมดจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าก็ไม่แน่ แต่ผมว่ารอบๆตัวเรา มีคณิตศาสตร์วนๆอยู่มากกว่าที่เราคิดนะครับ

ถ้าสนใจเกี่ยวกับคุณสมบัติทางคณิตศาสตร์ของเจ้าไฟใหญ่กับไฟเล็ก และเรื่องอื่นๆเกี่ยวกับ Fibonacci ไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ครับ http://www.mcs.surrey.ac.uk/Personal/R.Knott/Fibonacci/

เพิ่มอีกหน่อยครับ เพิ่งเห็นเวบนี้ http://www.goldenmeangauge.co.uk/golden.htm ลองไปดูสิครับ ว่าเรื่องจริงหรือบังเอิญ

Saturday, August 06, 2005

Podcasts

หลังจากผมกลายเป็นสาวก mac อย่างเป็นทางการ ผมก็เริ่มหาอะไรเล่นบน mac ไปเรื่อย จนกระทั่งผมมารู้จักกับเจ้า podcasts เมื่อไม่นานมานี้ครับ เจ้า podcasts นี้เปิดโลกอินเตอร์เน็ทของผมให้กว้างกว่าเดิมขึ้นมาอีกหน่อยครับ ทั้งๆที่จริงๆแล้ว podcasts นี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับ mac เท่าไรเลย

ใครรู้จัก podcasts แล้วไปนอนก่อนก็ได้ครับ ถ้าใครยังไม่รู้จักก็ล้อมวงเข้ามาอีกครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง

podcasts ก็คือ รายการวิทยุฟรีผ่านอินเตอร์เน็ทดีๆนี่เองครับ แต่ไม่ได้จำกัดอยู่แต่แค่การ broadcast เสียงจากสถานีโทรทัศน์ หรือวิทยุเท่านั้นนะครับ แต่รวมไปถึงการออกอากาศผ่านทางอินเตอร์เน็ทของเหล่า DJ มือสมัครเล่น และใครก็ได้ที่อยากมีสถานีวิทยุเป็นของตัวเอง

podcasts จึงเป็นแหล่งทรัพยากรอันดีเยี่ยม ทั้งดนตรีเพราะๆจากทุกมุมโลก และแหล่งความรู้จากรายการแปลกๆ เช่น รายการ talkshow คุยเล่น และตอบปัญหาสารพัน ทั้งทำกับข้าว กาแฟ ไวน์ เบียร์ ภาพยนตร์ ดนตรี กีฬา ไปจนถึง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เรียกว่า ใครอยากทำรายการอะไรก็ทำกันออกมา เราก็เลือกฟังเหมือนหมุนหาสถานีวิทยุที่ถูกใจเรายังไงยังงั้น

ข้อดีที่ทำให้ podcasts เป็นที่นิยมกันมาก คือรายการเหล่านี้มาในรูป mp3 (ไม่ใช่ live feed แบบ real audio) ทำให้สามารถฟังได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์ และโหลดไปฟังบน mp3 player (ไม่จำเป็นต้อง ipod ก็ได้นะครับ) ได้สบายๆ และด้วยความเร็วของอินเตอร์เน็ทสมัยนี้ ขนาดไฟล์แค่นี้สบายมากครับ (คนที่ใช้ dial-up อาจต้องนั่งรอกันนานนิดนึง แต่คุ้มนะครับ)

วิธีฟัง podcasts ก็ไม่ยากครับ และไม่จำเป็นว่าต้องใช้ mac หรือ ipod ด้วย แค่ไปโหลดโปรแกรมที่เล่น podcasts ได้ เช่น iTunes หรือ iPodder เลือกรายการที่สนใจ แล้วก็โหลดมาฟังได้เลยครับ

ใครฟังแล้วติดใจอยากทำรายการ podcasts เป็นของตัวเองก็ได้นะ เหมือนกับเปิดคอลัมน์ของตัวเองใน blog ยังไงยังงั้น ทำเก่งๆ อาจจะกลายเป็นผู้ดำเนินรายการยอดฮิตสักวันก็ได้นะครับ

ถ้าใครสนใจเรื่องประวัติความเป็นมา และข้อมูลทางเทคนิคของ podcasts ลองไปอ่านใน wikipedia ดูนะครับ ส่วนถ้าอยากรู้ว่า podcasts มีอะไรให้ฟังบ้างก็ไปดูกันเล่นๆที่ podcastalley.com ครับ

ใครฟังแล้วชอบรายการไหน มาบอกกันได้นะครับ

Friday, August 05, 2005

ทำไมผู้ชายถึงมีหัวนม?

วันนี้นั่งฟังข่าวอยู่ ได้ยินว่ามีหนังสือเล่มนึงกำลังมาแรงครับ ขึ้นอันดับสองของ amazon.com แล้วนะครับ รองแค่ harry potter เท่านั้น ชื่อหนังสือว่า why do men have nipples?

เอ้อ ฟังคำถามแล้วน่าสนใจเนอะ ถ้าใครอยากรู้คำตอบก็ไปหามาอ่านนะครับ หรือไม่ก็ search เอาทาง google ก็ได้ รับรองได้คำตอบแน่ๆ

หนังสือยังบอกอีกว่ามีคำถามกวนๆเกี่ยวกับร่างกายที่รับรองว่าไม่มีใครกล้าถามหมอแน่ (หรือ ต้องเมามากๆถึงจะกล้าถาม) เช่น

•How do people in wheelchairs have sex?

•Can I lose my contact lens inside my head forever?

•Why does asparagus make my pee smell?

•Why do old people grow hair on their ears?

•Is the old adage “beer before liquor, never sicker, liquor before beer . . .” really true?

ว่าจะไปหามาอ่านเหมือนกัน

ผมก็มีคำถามนะ ไม่รู้ในหนังสือเขาตอบหรือเปล่า....สงสัยมะครับ ว่าทำไมเวลาคนจามถึงต้องปิดตาด้วย? เอ้อ...น่าสนใจนะ มีคนเคยบอกว่า ถ้าไม่ปิดนะ ลูกตากระเด็นออกมาแน่ๆ เพราะมันมีช่องเชื่อมติดกับช่องคอ..... เชื่อดีหรือเปล่าน้า?

ไว้คราวหน้าใครจามลองพยายามเปิดตาดูนะครับ หุหุ

Wednesday, August 03, 2005

ฟองสบู่ (ตอนสุดท้าย)

เขียนเรื่องฟองสบู่มาหลายรอบแล้ว ว่าจะไม่เขียนแล้ว ขออีกสักตอนละกันนะครับ

หลังจากที่คราวก่อนนู้น เกริ่นนำไปแล้วว่า ราคาบ้านที่อเมริกาช่วงนี้บ้าระห่ำกันมาก และเริ่มจะอธิบายได้ยากว่าทำไมมันถึงได้แพงกันอย่างนี้ และคนทั่วไป จะเอาเงินจากไหนมาจ่ายนะ เมื่อวานนี้ผมเพิ่งได้คำตอบครับ

ถ้าใครได้ไปอ่านบทความใน the economist อันนี้ กับ อันนี้ ที่เคยได้แนะนำไว้ คงพอได้ไอเดียกันบ้างแล้วนะครับ กับความบ้าระห่ำของราคาบ้านในหลายๆประเทศ

กราฟอันนึงในบทความที่ผมชอบคือ กราฟอัตราส่วนระหว่าง ราคาบ้านกับค่าเช่าบ้าน ทำไมเหรอครับ? เพราะค่าเช่าบ้านก็คือผลตอบแทนที่เจ้าของบ้านได้รับจากการเป็นเจ้าของบ้าน เหมือนกับคนที่เป็นเจ้าของหุ้นก็ได้เงินปันผลเป็นค่าตอบแทน เพราะฉะนั้น price-rent ratio ก็เปรียบได้กับ price-earning ratio หรือ price-dividend ratio ในการวิเคราะห์หุ้น

ยิ่งเจ้า ratio นี้สูงเท่าไร แปลว่า อัตราผลตอบแทนในรูปค่าเช่าบ้านเมื่อเทียบกับเงินที่ลงทุนซื้อบ้านต่ำลงไปเท่านั้น จะเห็นได้ว่าระยะนี้เจ้า ratio นี้สูงมากในหลายๆประเทศ ยิ่งในอเมริกา เรียกว่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่เคยมีการบันทึกมา

ราคาบ้านในอเมริกานี้บ้าระห่ำเป็นพิเศษในบางเมืองครับ เช่น ในเขตอ่าวอุดมของพี่พิชญ์ (San Francisco และ Bay Area) และแถวๆแถบเมืองหลวง (DC area) ซึ่งราคาบ้านในแถบนี้ double กันในระยะเวลาสามสี่ปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว ราคาคอนโดสองห้องนอนขายกันประมาณ เจ็ดถึงแปดแสนเหรียญ ที่ San Francisco และประมาณสี่ถึงห้าแสนเหรียญ แถบ DC ถ้าบ้านเดี่ยวใกล้รถไฟใต้ดิน ไม่ต้องพูดถึงครับ เป็นล้านแน่นอน

ถึงบ้านแพงกันขนาดนี้ คนก็ไม่ยั่นนะครับ เรียกว่า ถ้ามีคอนโดขึ้นใหม่ ขายหมดตั้งแต่ยังไม่ได้ตอกเสาเข็มด้วยซ้ำ และถ้าใครจะซื้อบ้าน จ่ายราคาที่คนขายเสนอมา รับรองว่าไม่ได้บ้านหรอกครับ ต้องบิดเกทับราคากันหน้ามืด เรียกว่า แพงแค่ไหนสู้ และราคาก็ขึ้นกันไม่หยุดด้วยครับ

เปล่าครับ ที่ผมพูดถึง ไม่ได้อิจฉาเจ้าของบ้านที่ซื้อไว้เมื่อสามสี่ปีที่แล้ว (จริงๆก็อิจฉาหน่อยๆนะ) แต่ผมแค่สงสัยว่าคนธรรมดาจะไปเอาเงินจากไหนมาอยู่บ้านพวกราคาบ้าระห่ำขนาดนี้ (ไม่ได้พูดถึงพวกคนรวยๆนะครับ)

ผมว่ามันมาจากวงจรอัตราดอกเบี้ย ที่ต่ำที่สุดในรอบหลายปี ในหลายๆประเทศรวมทั้งที่นี่ด้วยครับ และมาจากการปล่อยกู้แบบที่เรียกว่า 'exotic' mortgage ที่ผมเคยได้ยินมานาน แต่ไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวจนเมื่อวานนี้ครับ

เมื่อวาน ผมไปดูคอนโดห้องนึง (เปล่าครับ ไม่ได้จะซื้อ แค่จะย้ายบ้านเช่าครับ เพราะตอนนี้ห้องที่เช่าอยู่มันขึ้นราคา เลยจะย้ายประชด) เป็นคอนโดหรูใหม่เอี่ยม หนึ่งห้องนอน ไม่ใหญ่มาก แต่ทำเลดีเยี่ยม และเครื่องใช้ในห้องดีมากๆ ปล่อยเช่าอยู่ที่ราคา $1,500 ซึ่งก็ถือว่าราคามาตรฐานถึงค่อนข้างถูกสำหรับแถวนี้ คนที่พาผมไปดูเป็น real estate agent ชาวอิตาเลี่ยนครับ ดูๆห้องอยู่ เขาก็ถามผมว่า ทำไมไม่ซื้อซะเลยละ ผมเลยถามเขาว่า มันเท่าไรเหรอ เขาบอกว่า $460,000 ครับ ผมสะอึกไปสองที

แล้วพ่อหนุ่ม อิตาเลี่ยนคนนั้นก็บอกผมต่อว่า ถ้าผมสนใจ เขาหา mortgage ให้ได้ จ่ายแค่เดือนละ $1,200 เท่านั้น (มิน่า ถึงปล่อยเช่าเดือนละแค่ 1,500 ได้) ผมถามว่า negative amortization เหรอ เขาตอบว่าใช่ แถมยังบอกต่ออีกว่า จะสนใจจ่ายคืนเงินต้นทำไม ซื้อบ้านไปอยู่สองสามปีก็ได้เงินคืน เหมือนอยู่บ้านฟรีๆแถมกำไรก้อนใหญ่อีกด้วย แล้วยังบอกอีกว่าใครๆเขาก็ทำกันทั้งนั้น เขามี "นักลงทุน" จากอิตาลี เยอรมัน ซื้อบ้านแบบนี้แล้วปล่อยเช่ากันเต็มไปหมด

ผมถึงบางอ้อว่าทำไมราคาบ้านมันถึงได้แพงแบบนี้

ทำไมเหรอครับ?

สำหรับ mortgage ปกติทั่วไป เงื่อนไขก็คงจะเป็นแบบจ่ายคืนคงที่แต่ละงวด ระยะเวลา 30 ปี ดอกเบี้ยคงที่ (ช่วงนี้ก็ประมาณ 5% กว่าๆ ต่อปี) และวางเงินดาวน์ในอัตราไม่ต่ำกว่า 20% ถ้าใครสนใจบ้านหลังนี้ คงต้องหาเงินมาดาวน์สัก $92,000 (อย่าลืมนะครับว่าธนาคารที่ดีจะไม่ปล่อยยอมกู้เท่ากับมูลค่าของหลักประกัน) และจ่ายเงินค่างวดอีกประมาณ $2,200 ต่อเดือน (ในจำนวนนี้ประมาณ 1,700 เป็นค่าดอกเบี้ยครับ จ่ายคืนเงินต้นในปีแรกแค่ประมาณเดือนละ $500) จ่ายค่าส่วนกลางอีกเดือนละประมาณ $300 และยังมีภาษีทรัพย์สินอีกประมาณเดือนละ $200 รวมแล้ว ไม่ต่ำกว่าเดือนละ $2,700 แน่ๆ

แต่เดี๋ยวนี้ mortgage มันไม่ได้มีแบบนี้แบบเดียวน่ะสิครับ

แบบแรกที่อยากแนะนำให้รู้จักคือ ARM ครับ หรือ Adjustable Rate Mortgage เจ้า ARM พูดง่ายๆแล้วมันก็คือ mortgage แบบดอกเบี้ยไม่คงที่ครับ เกิดขึ้นมาสำหรับคนที่อยากซื้อบ้าน แต่ดอกเบี้ยระยะยาวแพงเกินไป ก็เลยมา bet กับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นแทน คือเหมือนกับประมาณว่ากู้สั้น และรอเสี่ยงกับอัตราดอกเบี้ยตอน rollover เอา

แต่คนส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า คนซื้อบ้านหลังแรกส่วนใหญ่จะขายทิ้งก่อนจะครบระยะเวลาจ่ายคืนเงินกู้อยู่แล้ว เพราะต้องการย้ายไปบ้านที่ใหญ่ขึ้น แล้วจะมัวเสีย maturity premium อยู่ทำไม อืมก็มีเหตุผลนะครับ ถ้าใครคิดว่าจะอยู่บ้านนี้แค่ เจ็ดปี ก็ lock rate ไว้แค่เจ็ดปีก็พอ ถ้าเอาเข้าจริงๆอยู่เลยกว่านั้น ก็ expose กับความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ยเอา

การกู้แบบนี้ก็ทำให้ลดค่างวดลงไปได้เยอะ โดยเฉพาะตอนที่ yield curve steep มากๆ แต่ช่วงนี้ความแตกต่างของดอกเบี้ยระยะสั้นกับระยะยาวลดลงมากแล้วครับ เนื่องจาก yield curve ในอเมริกา flat ลงมาก เพราะ fed ขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นตั้งหลายรอบ แต่ดอกเบี้ยระยะยาวไม่ได้สูงขึ้น แถมยังลดลงอีกต่างหาก (อย่าถามนะครับว่าเพราะอะไร เพราะขนาด fed chairman Alan Greenspan ยังเรียกเจ้าภาวะแบบนี้ว่า interest rate condundrum เลย)

นอกจากนี้แล้ว ยังมีการกู้เงินแบบที่น่ากลัวกว่า เช่น interest only mortgage คือ จ่ายคืนแค่ส่วนของดอกเบี้ย เรียกว่า จ่ายไปเหอะ ยอดหนี้ไม่ได้ลดลงเลย แบบนี้เหมาะสำหรับคนที่อยากซื้อบ้านเพื่อการลงทุนหรือ พวกที่กะว่าแป๊บเดียวก็ขายทิ้งแล้ว และคิดว่าราคาบ้านขึ้นแน่ๆ คือกะเอาเงินที่ได้จากขายบ้านมาจ่ายคืนเงินต้น

ไม่หยุดแค่นั้นครับ เดี๋ยวนี้มีการกู้เงินที่เรียกว่า negative amortization ที่พูดถึงข้างบนครับ คือ เงินงวดที่จ่ายแต่ละเดือนเนี่ย ยังไม่พอค่าดอกเบี้ยเลยด้วยซ้ำ ดอกเบี้ยที่จ่ายไม่หมดก็เอาไปทบเป็นเงินต้นที่เพิ่มขึ้นด้วย เหมาะสำหรับคนที่คิดว่า ราคาบ้านจะสูงขึ้นเร็วกว่า อัตราที่เงินต้นพอกขึ้น บางคนถึงกับผมบอกว่า จะกลัวไปทำไม ถ้าเงินต้นจะพอกขึ้นมาสัก 20,000-30,000 เหรียญ ถ้าราคาบ้านขึ้นไปสัก 120,000 เหรียญ!

แล้วมันทำให้ราคาบ้านสูงขึ้นได้ไงเหรอครับ ก็สมมุติว่า คนที่มีความสามารถจ่ายเงินค่างวดได้เดือนละ $2,000 ไปขอกู้เงินแบบดอกเบี้ยคงที่ธรรมดา คงกู้เงินได้สัก $350,000 แต่ถ้ากู้แบบ interest-only จะสามารถกู้ได้ถึง $430,000 และยิ่งถ้าบ้าระห่ำพอที่จะไปกู้แบบ negative amortization จะสามารถกู้ได้ถึง $600,000 เลยทีเดียว อย่างงี้บ้าไหมละครับ

อย่างนี้แหละครับเวลาซื้อบ้าน คนที่ขอกู้แบบธรรมดา คงโดนพวกกู้แบบ exotic แบบนี้ outbid เอาง่ายๆ

แต่คิดแล้วหวิวๆครับ กู้เงินแบบนี้เหมือนกับนั่งทับลูกระเบิดครับ ถ้าเกิดราคาบ้านไม่ขึ้น หรือถ้าดอกเบี้ยขึ้น เผลอๆจะมีเงินไม่พอจ่ายคืนน่ะสิครับ

ไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ปล่อยกู้...ทั้งธนาคาร, financial arm ของ real estate agents, Freddie Mac, Fannie Mae, และคนที่ถือ Residential Mortgage Backed Securities (RMBS) ทั้งหลาย....

ไม่ใช่เล่นๆนะครับ เชื่อไหมละครับว่า การปล่อยเงินกู้ซื้อบ้านใน bay area ปีที่แล้วเป็นแบบ interest only ซะ 70%! ถ้านับทั้งประเทศ สัดส่วนการกู้แบบนี้สูงถึง 30% และเป็น negative amortization ซะ 5%!


แบบนี้แสดงให้เห็นว่า คนจำนวนมากที่ซื้อบ้าน ไม่ได้ซื้อเพราะต้องการจะอยู่บ้าน หรือให้เช่า แต่กะว่าคงได้เงินคืนจากราคาบ้านที่สูงขึ้นแน่ๆ และไม่ได้กะว่ามันจะขึ้นเฉยๆด้วยนะครับ กะว่ามันจะขึ้นเร็วกว่าอัตราดอกเบี้ยไปตลอดแน่ๆ

คนที่อยากซื้อบ้านเพื่ออยู่เอง ก็ทนอยู่เฉยๆไม่ได้ครับ เพราะทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ราคาบ้านมันไม่ลงหรอก จะลงได้อย่างไร คนที่กลัวๆแบบนี้เมื่อสามปีก่อน เดี๋ยวนี้ต้องนั่งร้องไห้ เพราะราคาบ้านแพงขึ้นทั้งนั้น รีบๆซื้อไปเหอะ เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน" พอเห็นราคาที่ขึ้นแบบพรวดพราด เมื่อสองสามปีก่อน ยิ่งต้องเข้าไปซื้อกะเขาด้วย เพราะกลัวต้องจ่ายแพงกว่าตอนนี้

มีคนบอกไว้ว่า "A house addiction, you know it isn't good for you, but you still do it, freaking weird."

ทั้งหมดนี้ ฟังดูแล้วคุ้นๆ ไหมครับ ฟังดูเหมือนกับนิทานเรื่องดอกทิวลิป ที่ผมเคยเล่าให้ฟังไหมครับ คำถามคือว่า อะไรจะทำให้ความบ้าระห่ำแบบนี้หยุดลง ใครจะเป็นคนสุดท้ายที่ซื้อ และพอมันหยุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้น

ผมไม่ได้รู้แน่นอนหรอกครับ ว่าราคาบ้านจะลงแน่ๆ ใครจะรู้ละครับ อีกสามปีถัดไป เราอาจจะยังได้ยินคำเตือนว่าราคาบ้านยังขึ้นไม่หยุดอยู่ก็ได้ ใครจะรู้

แต่มีความเชื่ออันนึงในญี่ปุ่น ตอนเศรษฐกิจดีๆเมื่อหลายปีก่อน ที่ว่า ราคาบ้านไม่มีวันลง ซึ่งเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามันไม่จริง....


หวังนะครับว่า ปรากฏการณ์บ้าระห่ำแบบนี้ จะไม่เกิดขึ้นอีกในเมืองไทย...





ใครสนใจไปอ่านคำเตือนเล่นๆได้ครับ
thehousingbubble2.blogspot.com
msnbc.msn.com
sfgate.com
sfgate.com อีกอันนึง