Saturday, December 31, 2005

Happy New Year!

เย้ เวลาเมืองไทย คงขึ้นปีใหม่กันแล้ว ไปฉลองที่ไหนกันบ้างครับ

ขอให้มีความสุขมากๆในปีใหม่นี้ครับ ขอให้มีสติ ปัญญางอกงาม ดำรงตนในความไม่ประมาทครับ

พบกันใหม่ปีหน้าครับ

Tuesday, December 27, 2005

ศาสนากับเสรีภาพ?

สุขสันต์วันหยุดครับ ขอให้มีความสุขกันมากๆนะครับ

เดี๋ยวนี้ที่นี่เขาแนะนำกันว่า อย่าทักทายคนที่เราไม่รู้จักว่า Merry Christmas นะครับ เพราะมันเป็นคำทักทายที่ "politically incorrect" เพราะเราอาจจะไปพูดกับคนศาสนาอื่นที่ไม่นับถือ Jesus Christ (ว่าๆไป เมืองไทยไม่เห็นจะมีปัญหาเลยทั้งๆที่มีคนนับถือคริสต์อยู่ไม่มาก แต่เห็นพูด Merry Christmas กันทั่วบ้านทั่วเมือง)

แต่ประเทศนี้ เรื่องศาสนากลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการแยกกันระหว่างรัฐกับศาสนา เมื่อไม่นานมานี้ศาลหลายแห่งโดนสั่งปลดป้ายบัญญัติสิบประการที่ติดอยู่หน้าศาลลง หรือโรงเรียนหลายแห่งโดนสั่งห้ามไม่ให้มีพูดสิ่งที่เกี่ยวกับศาสนา เพราะทำให้นักเรียนที่ไม่นับถือศาสนาคริสต์ไม่สบายใจ

คงคล้ายๆกับเวลาที่เราสวดมนต์หน้าเสาธง เพื่อนๆศาสนาอื่นคงไม่สบายใจ(แต่ผมจำได้ว่าเพื่อนๆที่นับถือศาสนาอื่นก็ยืนเฉยๆ ไม่เห็นเขาจะว่าอะไรนี่ครับ)

แล้วก็เรื่อง Intelligent Design กลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตขึ้นมาอีก เพราะโรงเรียนบางแห่งบังคับให้นักเรียนเรียนเรื่อง Intelligent Design ก่อนเรื่องวิวัฒนาการในวิชาชีววิทยา (Intelligent Design เป็นแนวความคิดที่ว่าบางสิ่งในจักรวาล โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิต ต้องมี "อะไรสักอย่าง" เป็นผู้ออกแบบแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่ออกมาได้เลิศเลอเพอร์เฟ็คขนาดนี้ บางคนที่เชื่อในพระเจ้า ก็คิดว่าพระเจ้านี่แหละ เป็นผู้ออกแบบทุกอย่าง)

จนทำให้ผู้ปกครองบางคนที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ ไปร้องเรียนให้โรงเรียนยกเลิกข้อบังคับดังกล่าว จนกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ถึงกับมีการลงมติกันเลย จนนักการเมืองบางคนถึงกับให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าวันหลังเมืองถูกพระเจ้าลงโทษ ก็ไปสวดมนต์ให้ Charles Darwin ช่วยแล้วกัน อย่าร้องขออะไรจากพระเจ้าอีก

ว่าเข้าไปนั่น

ผมว่าอีกสักพักคงต้องมีการฟ้องร้องให้เอาคำว่า In God We Trust ออกจากธนบัตรทุกใบแน่ๆเลย

บางทีเสรีภาพในการนับถือศาสนาก็ไม่ได้ ได้มาง่ายๆนะครับ เพราะขอบเขตของเสรีภาพของคนหลายศาสนามันดันไปทับกัน

หรืออย่างในฝรั่งเศส ด้วยความตั้งใจที่ไม่อยากให้คนแสดงความแตกต่างของศาสนาออกมา จนนำไปสู่กับห้ามนักเรียนใส่ที่คลุมศีรษะไปโรงเรียน ก็กลายเป็นเรื่องอีกครับ

จนมีคนบอกผมว่า อย่าเอาเรื่องศาสนาขึ้นมาคุยบนโต๊ะอาหาร เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่า สิ่งที่เราพูดไปจะไปละเมิดใครเข้าหรือเปล่า

แต่ถึงไม่พูดหลายๆคนก็คงรู้อยู่ดีครับว่า ความแตกต่างทางศาสนานี่แหละครับ นำไปสู่สงครามและความขัดแย้งมาไม่รู้เท่าไรแล้ว

ผมว่าเมืองไทยโชคดีนะครับ ที่หลายๆศาสนาอยู่ร่วมกันได้ โดยมีความขัดแย้งค่อนข้างน้อย (ตรงนี้หลายคนคงเถียงผมแน่ๆว่าแล้วทางใต้ละ อันนั้นก็เถียงกันได้ครับ แต่ผมว่าต้นเหตุของความขัดแย้งตรงนั้น ไม่ได้เกิดจากความแตกต่างทางศาสนาแต่อย่างเดียวนะสิครับ แต่รวมไปถึงความแตกต่างทางเศรษฐกิจ และอุดมการณ์ทางการเมืองด้วย และถ้าไปเทียบกับบางประเทศแล้ว ผมว่าเมืองไทยโชคดีแล้วครับ)

ก็หวังครับ สักวันเราคงหาวิธีอยู่ด้วยกันได้ โดยเข้าใจและยอมรับความแตกต่างของคนต่างศาสนาและวัฒนธรรม และไม่ต้องกวาดสิ่งเหล่านี้เข้าไปใต้พื้นตลอดเวลานะครับ

***********************************

ใครยังไม่ได้ฟังสุนทรพจน์จากท่านผู้นำ แนะนำให้เข้าไปฟังอย่างยิ่งครับ ที่นี่ครับ

ท่านเปิดเผยความในใจหลายๆอย่าง โดยเฉพาะสาเหตุที่ท่านต้องประกาศสงครามกับยาเสพติด ฟังแล้วน่าคิดมาก

Sunday, December 11, 2005

ขอหอม..กี่ทีดี

เวลาเจอฝรั่งการทักทายกันด้วยการจับมือคงเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าใครเคยไปงานปาร์ตี้ แล้วเจอเพื่อนต่างชาติ (โดยเฉพาะเพื่อนต่างเพศ) คงจะไม่แปลกที่จะเห็นเขา กอดแล้วยื่นแก้มไปหอมกัน พร้อมกับทำเสียงจ้วบในบางที (หอมนะครับ ไม่ใช่จูบ แค่เอาแก้มมาชนกันก็พอ ไม่มีการเอาลิ้นออกมาเพ่นพ่านเด็ดขาด)

คนไทยอย่างเราเจอแบบนี้ครั้งแรกๆอาจออกอาการยึกยัก เคอะเขิน อิดออด อับอาย ไม่กล้าเสนอหน้าเข้าไปหอมเป็นอันแน่ แต่ก็คงประหลาดถ้าเขาทำกันมาทั้งแถว แล้วจะไม่ทำอยู่คนเดียว แต่พอหลังๆเริ่มชิน ไม่วายจะดึงสาวมาหอมเองซะเลย

ผมว่า ถ้าเป็นผู้ชายก็ทำๆไปเถอะครับ แก้มเราไม่สึกหรอแน่ แต่ผู้หญิงไทยหลายๆคนคงไม่ค่อยอยากให้คนอื่นหอมเท่าไร ก็ไม่ต้องหอมก็ได้ ส่วนใหญ่คนต่างชาติเขาก็เข้าใจว่าวัฒนธรรมเราไม่หอมกัน

แต่ทีนี้พอมีเพื่อนฝรั่งต่างชาติต่างภาษามากขึ้นเรื่อย อาจจะเริ่มงงว่า เอ..แล้วเราจะหอมหรือไม่หอมดี หรือจะหอมกี่ทีดี

ถ้าไม่ได้ทักเพื่อนคนนั้นเป็นคนแรก คงจะไม่ลำบากอะไร เพราะก็ทำตามคนข้างๆซะ แต่เกิดซวย ยืนอยู่หน้าประตู แล้วเขาเปิดประตูเข้ามาเลยนี่จะทำไงดีนะ

ด้วยความที่เป็นคนไทย เราควรต้องรักษาภาพพจน์เล็กน้อย ด้วยการยื่นมือให้จับเฉยๆก่อน ไม่เสนอหน้าให้เขาหอมง่ายๆ ถ้าเขายื่นหน้าเข้ามา เราถึงยื่นหน้ากลับออกไป ยกเว้นว่าคนนี้เราเคยหอมมาก่อนแล้ว หอมอีกคงไม่เป็นไร หรือน่ารักมากๆ ขอหอมไว้ก่อนเป็นกำไรชีวิต แต่ยังไงก็ต้องคิดก่อนละครับ ว่ากี่ทีดี

ท่านผู้รู้บอกไว้อย่างนี้ครับ

ถ้าเป็นอเมริกันหรืออังกฤษ ส่วนใหญ่เขาจะสวมกอด หรือมีแอบหอมกันสักหนึ่งทีพอ (ยกเว้นคนนั้นจะเป็นแบบ European หน่อย)

ในยุโรปหลายประเทศ เช่น สเปน อิตาลี สวีเดน ฮังการี่ และประเทศในอเมริกาใต้ที่ได้รับอิทธิพลมาจากยุโรป เช่น เปรู อาเจนติน่า นี่เขาหอมกันสองทีพอครับ

ถ้าเป็นรัสเซีย สวิส อียิปต์ นี่ส่วนใหญ่จะสามนะครับ

แต่ถ้าเป็นฝรั่งเศสขนานแท้นี่ต้องสี่ครับ ข้างละสอง

แต่ถ้าเป็นชาวเอเชียด้วยกัน หรือยุโรปบางชาติอย่างเยอรมันนี่คงไม่ค่อยหอมกันเท่าไร อย่าเสนอหน้าสุ่มสี่สุ่มห้าละครับ เดี๋ยวหน้าแตกได้

สรุปแล้ว ตามเพื่อนข้างๆไว้ปลอดภัยกว่าครับ แต่ซวยเป็นคนแรก ก็เป็นฝ่ายรับแล้วกันครับ ถ้าเขายื่มแก้มมาเราค่อยหอม อ้อ แล้วที่หอมกันนี่ ส่วนใหญ่หอมกันเฉพาะคนคุ้นเคยนะครับ ไม่ใช่ว่าเห็นสาวน่ารัก แล้วรี่เข้าไปจับมือขอหอมแก้มเลยนะครับ

เริ่มข้างไหนก่อนก็แล้วแต่ประเทศอีกครับ แต่ให้ปลอดภัยไว้ก่อนก็ข้างขวามั้งครับ

อย่างเมื่อคืนนี้ผมเจอเพื่อนรัสเซีย แต่ดันจำไม่ได้ว่าหอมกี่ทีดี ผมก็เลยมั่วๆสองทีไป เขายื่นมาให้เป็นครั้งที่สาม แต่เราชักหน้ากลับมาแล้ว ก็ต้องแก้เกี้ยวด้วยการบอกว่า โอ้ มันมึนจริงๆ จำไม่ได้แล้วว่าหอมกี่ที

แต่ถ้าเป็นผู้ชายนี่ ผมไม่หอมเด็ดขาดครับ แม้ว่าวัฒนธรรมของเขาจะหอมกันก็เถอะ....กลัวฟ้าผ่าครับ อย่างดีก็สวมกอดตบหลังกันก็พอ

Tuesday, December 06, 2005

กลับมาก็หนาวเลย

กลับเมืองไทยรอบนี้ แทบไม่ได้ทำอะไรเลยครับ แค่ออกไปตระเวนกิน พบปะญาติพี่น้อง ก็แทบหมดเวลาแล้วครับ ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นเหมือนอย่างเคยกับเพื่อนฝูงอีกหลายคนที่อยากเจอ (แต่ไม่รู้มันอยากจะเจอเรากันหรือเปล่า)

ประกอบกับสายโทรศัพท์ที่บ้านห่วยเหลือรับประทาน คลื่นแทรกเยอะเหลือเกิน ต่อเน็ทหลุดแล้วหลุดอีก บางทีจะตอบเมล์แค่อันเดียว ต้องต่อโทรศัพท์ไปเจ็ดแปดที (แม่เห็นบิลค่าโทรศัพท์อาจมึนได้) เลยถูกตัดขาดจากโลกอินเตอร์เน็ทไปร่วมสองอาทิตย์ ก็ดีครับ นี่เป็นการพิสูจน์ว่าเรายังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีอินเตอร์เน็ท (แม้ว่าจะเป็นช่วงสั้นๆก็ตาม)

รอบนี้ไปไกลสุดได้แค่หัวหินครับ แต่ก็รู้สึกว่าได้พักผ่อนอย่างแท้จริง เพราะแทบไม่ได้ทำอะไรเลย ไปนอนอ่านหนังสือริมชายหาด ฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง สบายใจจริงๆ เช้าๆก็ตื่นมารอดูพระอาทิตย์ขึ้น บ่ายๆก็โดดลงสระน้ำ ตกเย็นไปเดินตลาดหาของกิน สวรรค์ครับ

กลับไปถึงเมืองไทยวันแรกๆนี่ ตกใจแทบแย่ครับ เพราะอากาศมันช่างเย็นสบาย สามารถนอนเปิดหน้าต่าง ปิดแอร์ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมจำไม่ได้จริงๆครับว่าครั้งสุดท้ายที่สามารถนอนโดยไม่เปิดแอร์ในกรุงเทพได้ นี่มันเมื่อไรกัน แต่เสียดายเป็นอย่างนั้นได้แค่สองวัน แล้วคลื่นความร้อนมันก็กลับมา วันหลังๆนี่ออกไปข้างนอกทีแทบจะเป็นลม แต่ก็เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคย

พอผมออกจากกรุงเทพ เมื่อคืนวันอาทิตย์ มาถึงนี่เช้าวันจันทร์ก็ทรมานสังขารเข้าที่ทำงานเลย แม้ว่าจะไม่ได้นอนเลยเกือบ 36 ชั่วโมง ไม่ได้ขยันเกินเหตุครับ แต่ขืนอยู่บ้านนี่หลับชัวร์ และก็จะเข้าสู่วงจร jet lag เป็นแพนด้าไปอีกเป็นอาทิตย์แน่ๆ

หลังจากคุ้นเคยกับอากาศร้อนที่กรุงเทพมา ตกเย็นแทบลมจับครับ ที่นี่พายุหิมะเข้า คืนเดียวตกไปสองสามนิ้ว เดินกลับบ้านนี่หนาวยะเยือก

หนาวขนาดนี้ ขอร้อนๆแบบกรุงเทพดีกว่าครับ

(มีรูปมาฝากนิดหน่อย ไปดูกันได้ที่ Gallery ครับ)