Friday, July 29, 2005

กาแฟ..

ผมจำได้ว่า ตอนเด็กๆ ผมถูกสอนว่า ชา กาแฟ เป็นสารเสพติด ทำให้ผมไม่กล้ากินกาแฟอยู่นาน เพราะตอนเด็กๆทุกคนจะบอกว่า เด็กๆอย่ากินเลยกาแฟ มันไม่ดี

แต่ที่บ้านผม ทานกาแฟกับขนมปังเป็นอาหารเช้ากันทุกวัน ทำให้ผมได้ทดลองดื่มกาแฟในที่สุด จำได้ว่าวันที่แม่ให้ดื่มกาแฟได้ คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่สุดๆแล้ว

แต่สมัยก่อนโลกของกาแฟสำหรับผม ก็ถูกจำกัดอยู่กาแฟผงสำเร็จรูป พวก เขาช่อง เนสกาแฟ ถ้าช่วงไหนได้กิน taster's choice นี่หรูสุดๆแล้วนะครับ กระปุกละสามสี่ร้อย กินไปแทบจะบินได้เลย นอกจากกาแฟสำเร็จรูปแล้วก็คงจะมีกาแฟรถเข็นปากซอย ที่เฮียแกชงกับถุงเท้า หรือไม่ก็กาแฟเย็นตามโรงอาหาร (แต่โลกกาแฟของคนอื่น อาจจะรวมถึง "คอฟฟี่ช๊อบ" ที่คุณ corgiman ชอบไปนั่งดูนักร้องอยู่บ่อยๆ)

แต่กินกาแฟไปยังไง ผมก็ไม่รู้สึกว่ามันจะเป็นสิ่งเสพติดตรงไหน กินแล้วหายง่วงบ้าง ไม่หายบ้าง บางทีกินปุ๊บหลับปั๊บก็เคย หยุดกินมันก็ไม่เห็นลงแดงสักหน่อย

แต่พอเริ่มมาเรียนหนังสือหนักเข้า ผมต้องพึ่งพากาแฟหนักเข้า หนักเข้า ผมถึงเข้าใจว่าอาการติดกาแฟ มันเป็นยังไง ถ้าถึงเวลาต้องกินแล้วไม่ได้กินมันจะรู้สึกมึนๆหัว ปวดหัวตึ๊บๆ ง่วงนอน ทำงานไม่ได้ แต่พอกินกาแฟเข้าไปสักแก้วอาการดังกล่าวก็หายเป็นปลิดทิ้ง พอติดหนักๆเข้า บางทียังอยากลองฉีดกาแฟเข้าเส้นเลย เผื่อมันจะหายง่วงเร็วขึ้น

ยังไง วันนี้ผมขอเล่าเรื่องกาแฟหน่อยละกันครับ

ว่ากันว่า กาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยม และดื่มกันแพร่หลายที่สุดรองจากน้ำเปล่าเลยทีเดียว ตำนานเล่าว่ามีการค้นพบว่ากาแฟมีสรรพคุณสร้างความกระฉับกระเฉงตั้งแต่สมัยคริสตศตวรรษที่เก้านู้น เมื่อคนเลี้ยงแพะคนนึงในทวีปแอฟริกา ไปเห็นแพะกินผลอะไรสักอย่างแล้วเกิดอาการคึกคักผิดปกติ ก็เลยกินเจ้าผลนี้ดูบ้าง และรู้สึกกระฉับกระเฉงมีเรี่ยวมีแรง ก็เลยเอาไปบอกคนอื่น เจ้าต้นไม้เพิ่มพลังก็เลยเป็นที่นิยมกันไปทั่ว ทั้งกินผลสด และชงน้ำกิน และการดื่มกาแฟก็ค่อยๆพัฒนาไปถึงการชงน้ำจากเมล็ดคั่ว

กาแฟเป็นที่นิยมโดยเฉพาะกับนักบวชสมัยก่อน เพราะกินแล้วมีแรงสวดมนต์ได้นานๆ ช่วงที่กาแฟเข้าสู่ทวีปยุโรป ความขัดแย้งทางศาสนามีค่อนข้างสูง ชาวคริสเตียนทั่วไปจึงเชื่อว่า กาแฟซึ่งเป็นที่นิยมของชาวมุสลิมในประเทศอาหรับ เป็นเสมือน the drink of devil เพราะซาตานคงจะนำเครื่องดื่มนี้มาให้เพิ่มพลังให้ชาวมุสลิม เพื่อสู้กับไวน์ซึ่งเป็นเสมือนเครื่องดื่มของพระเจ้า กาแฟจึงเป็นเครื่องหมายของพวกต่อต้านคริสต์ไป

จนถึงคริสตศตวรรษที่ 15 Pope Clement VIII ออกมาแก้ปัญหาโดยการออกมาทดลองดื่มกาแฟ (คงอยากรู้ว่ากาแฟรสชาติเป็นไงกันแน่) พอได้ดื่มเข้าไปเท่านั้น ด้วยกลิ่นที่หอมหวล และรสชาติที่เข้มข้นของกาแฟ pope ก็เลย baptize กาแฟ และรับกาแฟเข้ามาเป็นเครื่องดื่มของชาวคริสต์ตั้งแต่นั้นมา มีคนบอกว่า ถ้าลองโป๊บห้ามคนดื่มกาแฟสิ นั่นจะเป็นบาปที่หนักกว่านะนั่น

หลังจากนั้น กาแฟ ก็เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก และกลายเป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมในแทบทุกประเทศ วิธีการชงกาแฟก็พัฒนาไปพร้อมๆกัน ปัจจุบันนี้เรามีทางเลือกดื่มกาแฟอยู่หลายวิธีครับ ไม่อยากจะบอกเลยว่าที่บ้านผม มีเครื่องทำกาแฟอยู่แทบทุกแบบเลย

ที่เห็นกันบ่อยๆก็คือกาแฟจากเครื่องชงแบบ drip ครับ เวลาชงน้ำร้อนจะหยดผ่านกาแฟบดละเอียด โดยใช้ฟิลเตอร์กระดาษกั้นเอาไว้ วิธีนี้ชงได้ปริมาณเยอะๆ ง่ายดี คนยุโรปจะเรียกกาแฟแบบนี้ว่ากาแฟแบบอเมริกา เพราะคนอเมริกากินกาแฟกันทีเยอะๆเป็นกระติก ต่างจากคนยุโรป ที่นิยมกินกาแฟเข้มๆแก้วเล็กๆ

นอกจากนั้นก็มี กาแฟชงโดยใช้เครื่องชงแบบ french press ครับ วิธีทำก็คือเอากาแฟบด แช่น้ำร้อนสักสามนาที แล้วกดมุ้งลวดลงไป วิธีนี้ไม่ต้องใช้ฟิลเตอร์กระดาษ แต่ต้องล้างเยอะหน่อย กาแฟที่ได้มีกลิ่นหอม รสชาติเข้มข้น จะสังเกตได้ว่า เวลาที่ร้านจะให้ลองชิมกาแฟ จะใช้เครื่องชงแบบนี้ครับ เพราะได้รสของกาแฟเต็มที่

แต่พอกินกาแฟธรรมดานานๆ ผมว่ามันไม่ค่อยเข้มเท่าไร กินทีต้องกินเยอะๆ แล้วผมก็มารู้จักกับ espresso ตอนไปเรียนชงกาแฟแถวๆท่าพระอาทิตย์

espresso นี่ก็คือ กาแฟที่ชงโดยใช้น้ำร้อนอัดความดันวิ่งผ่านเมล็ดกาแฟป่นละเอียด โดยใช้เวลาน้อยๆ กาแฟที่ได้จะมีรสชาติเข้มข้น กลิ่นหอมละมุน และ espresso ที่ดีจะมีครีมฟอง (crema) ลอยอยู่ด้านบน เจ้าครีมนี่แหละ เป็นตัวบอกอันดับแรกว่า espresso ดีหรือเปล่า (ประมาณเดียวกับ นักชิมไวน์ต้องมองดูสีของไวน์เป็นอันดับแรก)

espresso เป็นกาแฟที่เข้มข้นมาก กินทีนึงเป็น shot หนึ่ง shot ก็แค่ประมาณ 1.5-2 Oz เรียกว่าถ้ากิน double shot ก็ตาสว่างไปได้นานพอควรแล้วครับ ถ้าใครได้ลอง espresso จะรู้ว่ามันไม่ได้ขมอย่างเดียวนะครับ แต่มีความหวานและความมันรวมอยู่ด้วย เรียกว่า กินเปล่าๆไม่ใส่น้ำตาลยังได้

นักปราชญ์ชาวตุรกี ถึงกับกล่าวไว้ว่า Coffee should be black as hell, strong as death, and as sweet as love

เครื่องทำ espresso แบบแรกที่อยากแนะนำให้รู้จักคือ moka pot ครับ บางทีก็เรียกว่า Italian Espresso Maker เครื่องชงแบบนี้ราคาถูก ใช้งานง่าย และสะดวก การทำงานของเครื่องชงแบบนี้ก็คือใส่น้ำลงไปในส่วนล่างของเครื่องทำกาแฟ ใส่กาแฟบดละเอียดไว้ตรงกลาง แล้วหมุนปิดทั้งสามส่วนไว้ เอาไปตั้งเตา พอน้ำที่อยู่ในกระเปาะส่วนล่างเดือด แรงดันไอน้ำจะดันน้ำร้อนพุ่งผ่านกาแฟบด ขึ้นไปกองเป็นกาแฟรสชาติเข้มข้นอยู่ข้างบน

แล้วก็มาถึงเครื่องทำ espresso แบบใช้ไฟฟ้าครับ เครื่องแบบนี้จะอัดน้ำร้อนด้วยความดันสูงผ่านกาแฟบด และเครื่องแบบนี้ มีอีกสองแบบครับ คือ แบบ pump-driven กับ แบบ steam เครื่องแบบ pump-driven จะอัดน้ำร้อนด้วยปั๊ม ทำให้น้ำมีแรงดันสูงกว่า และอุณหภูมิน้ำไม่สูงเกินไป จึงเหมาะกับการทำ espresso มากกว่า(ถ้าใครจะซื้อไปใช้เองที่บ้าน อย่าลืมเลือกแบบ pump นะครับ) ส่วนเจ้าท่อข้างๆเครื่องนั้น เป็นท่อไอน้ำเอาไว้อุ่นและตีฟองนม สิ่งสำคัญของ espresso drink ส่วนใหญ่

จริงๆแล้ว วิธีทำ espresso มีขั้นตอนค่อนข้างมาก (ไว้คราวหลังผมจะมาเล่าวิธีทำ espresso และการตีฟองนม แบบละเอียดกว่านี้ครับ เริ่มเหนื่อยแล้ว) แต่คร่าวๆคือ เริ่มจากการบดเมล็ดกาแฟให้ละเอียดมากๆ แล้วอัดกาแฟบดลงในฟิลเตอร์ แล้วก็เปิดเครื่อง ฟังเหมือนง่ายนะครับ แต่เป็นงานที่ต้องใช้ฝีมือพอควร โดยเฉพาะการอัด (tamper) กาแฟ ต้องมีเทคนิคเสียด้วย แต่ปัจจุบันเครื่องทำกาแฟพัฒนาไปมากครับ ถ้าใครไป starbucks เดี๋ยวนี้จะสังเกตว่า คนทำกาแฟไม่ต้องอัดกาแฟเองแล้ว เราจะไม่ได้ยินเสียงเคาะกาแฟทิ้งดังโป้งๆ แบบเมื่อก่อน เพราะเครื่องทำกาแฟรวมการทำงานทั้งการบด การอัด และการทิ้งกาแฟใช้แล้วอยู่ในเครื่องเดียวกัน เรียกว่ากดปุ่มเดียวก็ได้ espresso อร่อยๆมาทานแล้ว และรสชาติก็จะคงที่กว่าใช้คนอัด (แต่ไม่ได้แปลว่าอร่อยกว่านะครับ)เครื่องยิ่งดี อัดความดันได้สูง และรวมการทำงานหลายๆอย่างไว้ในเครื่องเดียว มีหัวทำกาแฟหลายหัว ยิ่งแพงครับ อาจถึงหลายๆหมื่นหรือถึงแสนได้ง่ายๆครับ

ถ้าพูดถึง espresso แต่ไม่พูดถึง espresso drink อื่น ก็คงจะไม่ได้ ลองดูครับ เผื่อใครไม่คุ้น อ่านแล้วจะได้ลองสั่งกาแฟแบบอื่นมาทานบ้าง

- macchiato คือ espresso ใส่เฉพาะฟองนม ทำให้ลดความเข้มข้นของ espresso ลงมาหน่อย
- cappuccino คือ espresso ใส่นมร้อน และฟองนมเท่าๆกันครับ เครื่องดื่มยอดนิยม
- latte คือ espresso ใส่นมเยอะหน่อย ฟองนมน้อยหน่อยครับ
- mocha คือ espress ใส่นมและน้ำเชื่อมชอคโกแลต
- espresso con panna คือ espresso ใส่ whipped cream ครับ ขาวข้นหวานมัน
- ristretto คือ espresso แบบเข้มข้นพิเศษครับ เพราะใช้น้ำน้อยกว่าอีกครับ เข้มสุดๆ
- lungo คือ espresso ที่เจือจางหน่อยนึง คือปล่อยให้น้ำร้อนไหลผ่านนานกว่า espresso ปกติ
- americano คือ espresso เจือจางด้วยน้ำร้อนครับ เป็นการล้อเลียนคนอเมริกาหน่อยๆ สำหรับคนที่ชอบกาแฟแบบบางๆ
- affogato คือ espresso เสริฟกับไอติมครับ

นอกจากเครื่องชงกาแฟเหล่านี้แล้วก็ยังมีเครื่องชงแปลกๆอีกหลายประเภท เช่น กาแฟเวียดนาม ที่ใส่กาแฟไว้ด้านบนแล้วรอให้กาแฟค่อยๆหยดผ่านฟิลเตอร์ลงมาแก้วด้านล่าง กาแฟตุรกี ที่การทำงานคล้ายๆกับเครื่องทำ espresso แบบอิตาเลี่ยน ฯลฯ

อูย ยิ่งเล่า อาการติดกาแฟเริ่มออกฤทธิ์อีกแล้วครับ ขอไปกินกาแฟสักแก้วก่อนเหอะครับ

Tuesday, July 26, 2005

ไม่น่าเล้ย ibook

นั่งเขียนไปทั้งน้ำตาครับ

จะไม่ให้เศร้าได้ไงครับ เพิ่งจะถอยน้องแม็คมาใหม่ๆ แต่วันนี้เพิ่งจะทราบข่าวว่า apple เปิดตัว ibook ใหม่ ราคาเท่าเดิมแต่ได้ของดีกว่าเดิม สำหรับรุ่น 12" จากเดิมได้ processor 1.2MHz; 30GB HD; 256MB RAM ตอนนี้ apple ใจปล้ำเปลี่ยน spec ให้ processor 1.33MHz; 40GB HD; 512MB RAM และ แถม built-in bluetooth ให้เสียด้วย

โหย รู้งี้รอสักสองสามอาทิตย์ก็ดีหรอก ดีนะว่าได้ rebate มาหน่อยนึง ไม่งั้นคงเสียใจกว่านี้

ถ้าใครกำลังคิดจะซื้อ ดูให้แน่ว่าได้รุ่นใหม่นะครับ

http://www.apple.com/ibook/

Wednesday, July 20, 2005

เปิดตัว Space by Kickoman

ผมเป็นคนชอบถ่ายรูปครับ

ถ่ายไปเรื่อยตามโอกาสจะอำนวย

ชอบเก็บภาพบรรยากาศเก่าๆครับ

พอเอากลับมาดูอีกทีแล้วก็มีความสุขดี

ที่ถ่ายไว้ก็มีเยอะพอควร เลยอยากเอาออกไปแบ่งกันชมครับ

ถ้าใครแวะผ่านไปผ่านมา ลองแวะไปดูที่ Space by Kickoman บ้างนะครับ

ถ้าจะกรุณา ติฉินนินทา ว่ากล่าวตักเตือน ชอบไม่ชอบอย่างไร ก็เชิญนะครับ จะได้เก็บเอาไปปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เผื่อว่าจะถ่ายดีขึ้นบ้าง

Sunday, July 17, 2005

ทำไมพระจันทร์ถึงดูใหญ่ตอนอยู่ใกล้ขอบฟ้า?

เคยสงสัยกันไหมครับว่าทำไมเราถึงเห็นพระจันทร์ (และพระอาทิตย์) ขนาดใหญ่กว่าปกติ ตอนที่มันอยู่ใกล้ขอบฟ้านะ ผมเคยขับรถอยู่ในลานจอดรถแล้วเห็นพระจันทร์ดวงโต นึกว่าหลอดไฟลานจอดรถซะอีก

ถ้าใครไม่เคยสังเกตลองดูนะครับ อาทิตย์หน้าก็พระจันทร์เต็มดวงอีกแล้ว ลองออกจากบ้านไปสังเกตดูนะครับ ยิ่งช่วงนี้ คนที่อยู่ซึกโลกทางเหนือจะเห็นพระจันทร์ใหญ่กว่าปกติเกือบตลอดคืน เพราะพระจันทร์โคจรค่อนข้างใกล้ขอบฟ้าตลอดคืน (คนที่อยู่ซีกโลกทางใต้อย่าง strawhat ลองรายงานผลการสังเกตด้วยนะครับ)

จะว่ามันเกิดจากระยะทางก็ไม่ใช่ครับ เพราะพระจันทร์ขึ้นและตกเนื่องจากโลกหมุนรอบตัวเอง และพระจันทร์อยู่คงที่เมื่อเทียบกับโลก เพราะฉะนั้นระยะทางจากโลกถึงดวงจันทร์ก็ควรจะเท่ากันไม่ว่าจะเป็นตอนหกโมงเย็นหรือเที่ยงคืน หรือถ้าจะต่างกันนิดนึง พระจันทร์ตอนอยู่สูงๆ น่าจะใกล้โลกมากกว่า เมื่อเทียบกับตอนที่มันขึ้น เพราะฉะนั้น เราน่าจะเห็นพระจันทร์ใหญ่กว่าปกติตอนมันขึ้นสูงๆสิ

ทำไมเราถึงเห็นพระจันทร์ขนาดใหญ่กว่าปกติตอนมันอยู่ใกล้ขอบฟ้าละ?

คำอธิบายอันนึงที่ผมเคยได้ยินตอนเด็กๆคือ เพราะตอนพระจันทร์อยู่ใกล้ขอบฟ้า แสงจากพระจันทร์หักเหผ่านชั้นบรรยากาศโลกแบบเฉียงๆ ทำให้เราเห็น "ขนาดภาพ" ใหญ่ขึ้น เหมือนกับว่าแสงหักเหผ่านเลนส์นูนมา

แต่ก็มีคนเถียงว่า จริงๆแล้วเนี่ย "ขนาดภาพ" ของพระจันทร์ที่เราเห็นคงที่ตลอดทั้งคืน คือมีขนาดเชิงมุมประมาณครึ่งองศา ถ้าไม่เชื่อเนี่ย คืนนี้เวลาออกไปสังเกตพระจันทร์ตอนหัวค่ำ อย่าลืมเอาไม้บรรทัดหรือแผ่นกระดาษกับปากกาออกไปด้วย แล้วยื่นไม้บรรทัดสุดแขน แล้ววัดขนาดของภาพพระจันทร์ที่เราเห็น หรือขีดทำเครื่องหมายไว้บนกระดาษ เสร็จแล้วออกไปอีกรอบตอนดึกๆ แล้ววัดขนาดพระจันทร์อีกรอบ ว่าเท่าเดิมหรือเปล่า (อย่าลืมทำให้ระยะจากตาถึงไม้บรรทัดหรือกระดาษตอนที่เราวัดหนแรกนะครับ)

ผมเคยทำการทดลองคล้ายๆกัน ผ่านกล้องถ่ายรูปครับ เพราะผมเห็นพระจันทร์ตอนหัวค่ำขนาดใหญ่ดี เลยคิดว่าถ้าเอาเลนส์ที่มีขนาดความยาวโฟกัสเท่าเดิมถ่าย น่าจะได้ภาพที่ใหญ่ขึ้น ปรากฎว่าไม่เลยครับ ขนาดเล็กยังไง เล็กยังงั้น

มีคนเคยถ่ายภาพ multiexposure ของพระจันทร์แต่ละช่วงเวลา ลองดูสิครับ ว่ามันใหญ่ขึ้น หรือเล็กลงอย่างไร

ที่มา: NASA

แปลว่าอะไรครับเนี่ย? แปลว่า "ขนาดภาพ" ของจันทร์ไม่ได้เปลี่ยนไป แล้วทำไมเราถึงรู้สึกว่าพระจันทร์ดูใหญ่เวลามันใกล้ขอบฟ้าละครับ?

ก็เพราะเราโดนสมองของตัวเองหลอกเอานะสิครับ ปรากฎการณ์นี้เป็นที่รู้จักกันในนาม moon illusion ครับ

ผมเข้าใจว่ายังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ว่าเจ้า moon illusion นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มีคำอธิบายอันนึงที่ผมว่าพอจะเข้าใจได้ ผมจะลองอธิบายให้ฟังนะครับ (แต่ก็มีคำอธิบายอันอื่นที่บอกว่าคำทฤษฏีนี้ผิด และพยายามบอกว่ามันผิดได้ยังไง แต่ผมอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจครับ มันยากเกิน ใครสนใจลองไปอ่านดูนะครับ)

คงจะพอทราบกันแล้วนะครับว่า มีภาพลวงตาหลายแบบ ที่คนเราดูกี่รอบ กี่รอบ ก็โดน "ลวงตา" อยู่ดี เรียกว่า รู้เขาหลอก แต่เต็มใจให้หลอก


และเจ้า moon illusion นี่ก็เป็นผลจากภาพลวงตาชนิดหนึ่งเหมือนกันครับ เจ้าภาพลวงตาอันนี้มีชื่อว่า Ponzo illusion ครับ

เป็นไงเหรอครับ ลองดูรูปทางขวามือนะครับ ดูเผินๆแล้วเหมือนกับว่า เจ้าแท่งด้านบนใหญ่กว่าใช่ไหมครับ อ่ะ ลองจ้องดูสักพักครับ อ่า..เห็นแล้วใช่ไหมครับ ว่าจริงๆแล้วเนี่ย เจ้าแท่งสองแท่งนี้ยาวเท่ากันเลย แต่ที่เราเห็นว่าเจ้าแท่งบนยาวกว่าแท่งล่างเนี่ย เพราะภาพลวงตาที่เกิดจากมุมมองของคนเราครับ

เนื่องจากคนเรารับรู้ว่า สำหรับของที่มีขนาด (ที่แท้จริง) เท่ากัน ของที่อยู่ไกลๆเนี่ยจะมี "ขนาดภาพ" เล็กกว่าของที่อยู่ใกล้ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าของสองอย่างมีขนาดภาพเท่ากัน อันนึงอยู่ไกล อีกอันอยู่ใกล้ ของที่อยู่ไกล น่าจะมีขนาดจริงๆที่ใหญ่กว่า...งงมะครับ ถ้างง ลองดูภาพข้างล่างนี้ดูครับ









ลองลากคนข้างล่างไปมาสิครับ (ที่มา: howstuffworks.com)


ลองดูสิครับว่า สองคนนี้คนไหนตัวใหญ่กว่ากัน... ถ้าดูจนมั่นใจแล้วลองลากคนข้างล่างขึ้นไปทาบกันคนข้างบนสิครับ

แปลกดีนะครับ

อ่ะ แล้วภาพลวงตาแบบนี้ แล้วมันเกี่ยวกันยังไงกะพระจันทร์เหรอครับ?

เกี่ยวสิครับ เพราะคนเราเนี่ย มี perception ท้องฟ้า ไม่ได้เป็นรูปครึ่งวงกลม แต่เป็นรูปโดมนะสิครับ ก็คือ เราจะคิดว่าระยะทางจากตัวเราไปถึงดวงจันทร์ที่ขอบฟ้าเนี่ยไกลกว่าระยะทางจากตัวเราไปถึงดวงจันทร์บนหัวเรา นึกออกไหมครับ ลองดูภาพประกอบครับ



คือประมาณว่า คนเราคิดว่าพระจันทร์โคจรข้ามหัวเราเหมือนนกบิน คือถ้านกบินมาไกลๆเนี่ย ระยะทางจากนกมาถึงเรา มันต้องไกลกว่าตอนนกบินข้ามหัวเราเห็นๆ แต่เนื่องจาก "ขนาดภาพ" ของพระจันทร์เท่ากันตลอด คนเราเลยหลอกตัวเองอีกรอบด้วย Ponzo Illusion ทำให้คิดว่า ขนาดที่แท้จริงของพระจันทร์ที่ขอบฟ้าเนี่ย ต้องใหญ่กว่าพระจันทร์ตอนขึ้นสูงๆแน่ๆ

งงมะครับ

อีกทฤษฏีนึงที่พูดถึงกันมากๆ ก็คือว่า คนเราโดนหลอกเพราะขนาดเปรียบเทียบ คือ ตอนพระจันทร์อยู่ใกล้ขอบฟ้าเนี่ย เรามีตึกและต้นไม้คอยเปรียบเทียบ เลยทำให้คิดว่าพระจันทร์ใหญ่มากๆ แต่พอพระจันทร์ขึ้นไปสูงๆ เราไม่รู้จะเปรียบเทียบกับอะไร เลยไม่คิดว่าใหญ่เท่าไรนัก แต่ผมไม่ค่อยเชื่อทฤษฏีนี้เท่าไร เพราะตอนมองพระจันทร์ตรงที่ไม่มีตึกหรือต้นไม้ มันก็ดูใหญ่อยู่ดี

มีคนบอกว่า ถ้าลองก้มมองพระจันทร์ที่ขอบฟ้า จะทำให้ illusion นี้หายไป เพราะเริ่มงง และไม่รู้แล้วว่าเรามองอะไรอยู่ ที่ไหน

แหะ แหะ งงมะครับ ถ้ายังงงและอยากอ่านเพิ่มเติมลองไปอ่านกันดูนะครับ
http://science.howstuffworks.com/question491.htm
http://www.pnas.org/cgi/content/full/97/1/500
http://science.nasa.gov/headlines/y2005/20jun_moonillusion.htm
http://www.lhup.edu/~dsimanek/3d/moonillu.htm





ผมไม่รู้หรอกครับว่าคำอธิบายไหนถูก แต่ว่าเอาเป็นว่าดูพระจันทร์เต็มดวง ดวงใหญ่ๆแล้วมันสวยดีก็พอแล้วครับ =)

Friday, July 15, 2005

น้อง แม็ค...

เมื่อสักสองสามเดือนก่อน น้อง ริท สุดที่รักของผม มีอาการไม่สู้ดีนัก เริ่มทำหน้าตาเศร้าๆ เป็นเส้นๆ กระพริบตาถี่ๆ บางทีก็เล่นหลับไม่ตื่นเลย ทำเอาผมตกใจแทบแย่ แต่ทุกครั้งน้องแกก็กลับมาทำงานได้ทุกที ผมเริ่มเป็นห่วง กลัวน้องแกจะเป็นอะไรไป

น้อง ริท อยู่กลับผมมานานแล้วครับ จำได้ว่าผมซื้อน้อง ริท มาตั้งแต่ปี 2000 ได้มั้งครับ ผม bid น้องแกมาจาก ubid.com สมัยตอนรุ่งๆ ถึงตอนนี้ก็สี่ห้าปีแล้ว คงถึงอายุขัยของน้องแกแล้ว ว่าไปแล้วน้อง ริท ก็ทำงานให้ผมมากแล้วครับ ผ่านอะไรต่อมิอะไรกับผมมาตั้งเยอะ น้อง ริท หน้าตาดีนะครับ แม้ว่าจะดำไปสักหน่อย แต่ก็นิสัยดี ไม่เคยเกเร

แต่แล้ววันนั้นก็มาถึงครับ เมื่อเดือนก่อน ตอนที่ผมกลับจากเดินสายทางเอเชีย น้อง ริท แกหลับไปเลยครับ ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น ผมละตกใจ ทำทุกอย่างที่เคยทำ ทั้งปลุกดีๆ ตบหัวกระตุ้้นการทำงานของหัวใจสองสามที น้อง ริท แกก็ไม่ตื่นครับ ผมเลยทำการผ่าตัดเปิดช่องท้องเป็นการด่วน เรียกว่างัดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเลย แต่น้องแกคงไปดีแล้วครับ ทิ้งไว้แค่ความทรงจำบนแผ่นแม่เหล็กให้ผม กว่าจะกู้ความทรงจำทั้งหลายได้นี่ผมปล้ำอยู่หลายชั่วโมงทีเดียวครับ เพราะไม่รู้จะเอาออกมาได้ยัง

แล้วก็ถึงวันที่ผมต้อง move on ครับ หวังว่าน้อง ริท คงไม่โกรธผมนะ

เพื่อให้ลืมน้อง ริท ผมเปลี่ยนไปหาน้องแม็ค ด้วยความที่ได้ยินเรื่องดีๆกับน้องแกมาเยอะ และที่สำคัญ น้องแก...ขาว...จริงๆครับ เลยขอลองคบดูด้วยสักหน่อย นี่เป็นการย้ายค่ายครั้งแรกของผม ประสบการณ์สี่ห้าชั่วโมงที่ผ่านมานับว่าราบรื่นดีครับ หวังว่าจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป

หน้าตาน้องแม็คของผมเป็นอย่างนี้ครับ ถ้าใครเคยคบกับน้องแม็คแล้วช่วยแนะนำผมบ้างนะครับ...

Wednesday, July 13, 2005

ฟองสบู่ (ตอนที่ 3: Tulipmania)

หายหน้าหายตาไปหลายวันเพราะงานยุ่งสุดๆไปเลยครับ คิดดูว่ายุ่งมาก จนแทบไม่มีเวลาอู้งานทำ sudoku เลยครับ วันนี้เริ่มหายยุ่งแล้วเลยขอคืนสังเวียนสักหน่อยครับ

ขอย้อนกลับมาเรื่องฟองสบู่อีกรอบครับ ตอนนี้อยากมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับประวัติของฟองสบู่ครับ

ภาวะฟองสบู่ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งมาเกิดนะครับ ว่ากันว่ามีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว

ฟองสบู่สมัยโบราณที่ขึ้นชื่อว่าคลาสสิคที่สุด บ้าระห่ำที่สุด และมีคนพูดถึงมากที่สุด คือ ฟองสบู่ที่เกิดขึ้นกับ ทิวลิป เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่สิบเจ็ด เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ tulipmania หรือ tulipomania กันบ้างหรือยังครับ ถ้าไม่เคย ก็ล้อมวงเข้ามาครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง

ถ้าพูดถึงทิวลิป หลายๆคนคงคิดถึงฮอลแลนด์หรือเนเธอร์แลนด์ หรือดินแดนกางหันสีส้มของแวนบาสเท่นนั่นแหละครับ แต่จริงๆแล้วเนี่ยดอกทิวลิปมีต้นกำเนิดมาจากฝั่งทวีปเอเชียของเรานี่เองครับ แถวๆประเทศตุรกี อิหร่าน ว่ากันว่าครั้งแรกที่ทิวลิปหลุดเข้าไปในทวีปยุโรป คือในช่วงกลางคริสตศตวรรษที่ 16 พ่อค้าชาวตุรกีส่งหัวทิวลิปไปให้พ่อค้าชาวฮอลแลนด์เป็นของกำนัล (ไม่ใช่ของผู้ใหญ่บ้านนะครับ เป็นของกำนัล) พ่อค้าชาวฮอลแลนด์ก็ไม่รู้ว่าไอ้หน่อเนี่ยมันคืออะไร นึกว่าเป็นหอมหัวใหญ่ เลยเอามาผัดกินซะนี่ เหลือก็เอาไปปลูกไว้ในแปลงผัก กะเก็บไว้กินปีหน้า พอดอกออกนี่สิครับ ตื่นเต้นกันใหญ่ว่าดอกอะไรมันช่างสวยงามซะขนาดนี้ แล้วหลังจากนั้น ทิวลิปก็กระจายไปทั่วยุโรป

ก่อนจะพูดถึงตลาดของทิวลิป ต้องเข้าใจถึงธรรมชาติของทิวลิปซะก่อนครับ ทิวลิปเป็นดอกไม้มีหัว หน้าตาก็เหมือนหอมหัวใหญ่นี่แหละครับ ทิวลิปขยายพันธุ์ด้วยหน่อ (ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดก็ได้ แต่ใช้เวลา 7-12 ปีกว่าจะออกดอก) หัวทิวลิปหนึ่งหัว ผลิตหน่อได้ปีละสองสามหน่อ และหัวทิวลิปแม่พันธุ์มีอายุแค่สองสามปีหลังจากโตเต็มที่

ดอกทิวลิปบานปีละครั้ง ในช่องฤดูใบไม้ผลิ ประมาณเดือนเมษายนถึงมิถุนายน แต่เนื่องจากหัวทิวลิปหน้าตาเหมือนกันหมด จะให้แน่ใจว่าซื้อหัวอะไรกันแน่ การซื้อขายหัวทิวลิปจึงเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน คือเฉพาะหลังดอกบานเท่านั้น เรียกว่าขุดกันเห็นๆเลยว่าถ้าออกดอกแล้วจะเป็นสีอะไรกันแน่

หลังจากที่ทิวลิปเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในยุโรป ทำให้มีความต้องการหัวทิวลิปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราคาของหัวทิวลิป โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธุ์สวยๆ หายากๆ ว่ากันว่าไอ้ดอกที่สวยๆหายากๆเนี่ย เกิดจากการที่ทิวลิปติดเชื้ออะไรสักอย่าง ทำให้เกิด pattern แปลกๆบนดอก แต่ทิวลิปที่ติดเชื้อเนี่ย จะอ่อนแอ และตายง่าย

ด้วยความที่มันหายาก และมีน้อย แต่มีความต้องการมาก ก็ยิ่งทำให้ราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในช่วงปี 1633 มีข่าวว่า มีคนขายฟาร์ม เพื่อแลกกับหัวทิวลิปสามหัว เมื่อข่าวดังกล่าวแพร่กระจายไป ทำให้คนตื่นเต้นกับราคาที่สูงมากของทิวลิป

ภาวะการซื้อขายเก็งกำไรหัวทิวลิปสูงขึ้นสุดๆในช่วงปี 1634-1637 แต่เดิมการขายทิวลิปนั้นจำกัดอยู่เฉพาะคนที่ปลูกทิวลิปขายเท่านั้น แต่ราคาที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และเรื่องราวของกำไรที่ได้มาอย่างง่ายดาย ดึงดูดนักเก็งกำไรเข้ามาร่วมปั่นราคาเข้าไปอีก คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า florist ครับ คือคนที่ค้าขายดอกไม้เป็นอาชีพ

ราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ต้องคิดราคาหัวทิวลิปกันเป็นกรัมเลยทีเดียว และตอนช่วงที่แพงๆ ราคาหัวทิวลิปต่อกรัม แพงกว่าทองคำเสียอีก เชื่อหรือไม่ละครับ !!!

ใน ปี 1636 เริ่มมีวิวัฒนาการการเงินรูปแบบใหม่เข้ามา เพราะอย่างที่บอกครับ การซื้อขายนั้นทำกันได้แค่ปีละครั้ง หลังดอกออกใหม่ๆ แต่มันยังไม่สะใจครับ เลยเริ่มมีการพัฒนาการซื้อขายสัญญาส่งมอบหัวทิวลิปกัน โดยที่การทำงานของตลาดก็คล้ายกับตลาด futures สมัยนี้ คือ คนซื้อก็ไม่มีเงินจะจ่ายเท่ากับในสัญญา ส่วนคนขายก็ไม่มีหัวทิวลิปในมือ แต่กะว่าจะถ้าครบตามสัญญาก็ settle กันโดยจ่ายส่วนต่างระหว่างราคาที่ตกลงกันไว้ในสัญญา กับราคาตลาดตอนที่ครบกำหนดส่งมอบ

แต่เป็นสัญญาที่ไม่ต้อง mark to market และ ไม่มี margin call

เท่ากับว่าเป็นลงทุนที่ leverage สูงมากๆ และเสี่ยงสุดๆ

แต่การซื้อขายสัญญาทำได้สะดวก และทำกำไรได้มาก ราคายิ่งพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (แต่กำไรก้อนใหญ่ยังไม่ realize จนกระทั่งถึงวันส่งมอบหัวทิวลิปนะครับ)

ระยะแรกๆก็ซื้อขายกันด้วยเงิน พอเงินไม่มี ก็เริ่มมีจ่ายเงินเป็นของแทน บางคนขายที่ ขายบ้าน มาซื้อหัวทิวลิป

มีการบันทึกไว้ว่า การซื้อขายหัวทิวลิปพันธุ์ viceroy หนึ่งหัว มีการตกลงจ่ายด้วยสินค้าต่อไปนี้

Two lasts of wheat
Four lasts of rye
Four fat oxen
Eight fat swine
Twelve fat sheep
Two Hogsheads of wine [commonly, a hogshead = 63 gals.]
Four tuns of beer [commonly, a tun = 252 gals. That's 15 kegs per tun]
Two tuns of butter
One thousand lbs. of cheese
A complete bed
A suit of clothes
A silver drinking-cup

เรียกว่ามีอะไรให้หมด เพราะกำไรมันเยอะจริงๆ

ลองดูเล่นๆว่า ราคาของทิวลิปพันธุ์หายากอย่าง 'Semper Augustus' เนี่ยราคา 1200 florins ต่อหัว ในปี 1624; ปี 1625 ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 3000 florins; ปี 1633 ราคา 5000 florins; และปี 1637 ราคาสูงถึงหัวละ 10,000 florins ค่าเงินสมัยก่อนคงเทียบลำบากว่าเท่ากับสมัยนี้เท่าไร แต่ เทียบง่ายๆว่า ราคาบ้านหรูริมคลองใน Amsterdam สมัยนั้นราคาแค่ 10,000 florins เรียกว่า ทิวลิปหัวหนึ่ง ราคาเท่าบ้านหลังนึงเลยทีเดียว

ตอนแรกๆราคาที่บ้าระห่ำแบบนี้ จำกัดเฉพาะพันธุ์ทิวลิปหายาก แต่ภายหลัง มันก็ระบาดไปถึงทิวลิปพันธุ์ทั่วไป ขนาดว่าหัวแตกๆ คุณภาพต่ำ ยังขายได้เลยครับ

...

แล้วภาวะฟองสบู่ของทิวลิปก็แตกดังโป๊ะ ในเดือนกุมภาพันธ์ 1637 เมื่อเริ่มคนเริ่มกลัวว่าราคามันชักจะสูงเกินไปแล้ว ว่ากันว่า สัญญาณบอกเหตุของฟองสบู่ที่กำลังจะแตก เกิดขึ้นเมื่อมีข่าวว่าผู้ร่วมประมูลหัวทิวลิปคนหนึ่ง ไม่ซื้อหัวทิวลิปที่ตัวเองประมูลได้

ผู้คนเริ่มแตกตื่น และผิดนัดสัญญาการซื้อขายหัวทิวลิปกันเป็นแถวๆ แล้วราคาหัวทิวลิปก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ราคาหัวทิวลิปในอีกห้าปีต่อมา ลดลงเหลือแค่ 1-30% ของราคาสูงสุด ในอีกร้อยปีถัดมา ราคาหัวทิวลิปเหลือไม่ถึง 1 florin ด้วยซ้ำ

แต่ ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ จากการพังทลายของราคาทิวลิปสมัยนั้นมีไม่มาก เพราะการปลูกทิวลิปทำได้แค่ปีละครั้ง และระยะเวลาที่เกิด tulipmania ขั้นรุนแรงที่เกิดขึ้นกับทิวลิปทั่วไปนั้นไม่ยาวนานมากนั้น ไม่พอที่จะทำให้เกิด misallocation of resources (คือไม่ทำให้คนแห่ไปปลูกทิวลิปกันหมด) ความเดือดร้อนจึงถูกจำกัดอยู่เฉพาะพวกแมลงเม่าที่เข้าไปเก็งกำไร นอกจากนี้หลังจากราคาทิวลิปตกฮวบฮาบ สัญญาต่างๆก็ settle กันจริงๆที่ปริมาณไม่สูงนัก ไม่ทำให้คนเดือดร้อนมากนัก

...

ฟังดูแล้วเศร้าไหมครับ เรื่องราวก็คล้ายกับภาวะฟองสบู่อื่นๆ คือตอนที่มันขึ้นกันอย่างบ้าระห่ำ ทุกคนคิดว่ามันจะต้องขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ตอนราคามันตก ก็ตกไม่ลืมหูลืมตาเหมือนกันครับ

tulipmania นี้เป็นเรื่องเล่าที่ติดไปกับคำว่าฟองสบู่ และประวัติศาสตร์ประเทศฮอลแลนด์ไปได้อีกนานครับ

...

ใครสนใจไปลองอ่านเพิ่มเติมได้ครับ สนุกดี

Mike Dash, 2001, Tulipomania : The Story of the World's Most Coveted Flower & the Extraordinary Passions It Aroused

Charles MacKay, 1841, Extraordinary Popular Delusions and the Madness of Crowds.

Peter M. Garber, 1989, "Tulipmania," Journal of Political Economy, Vol. 97, No. 3, pp. 535-560.

Monday, July 04, 2005

4th of July!



เพิ่งไปดูพลุวันชาติมาครับ เลยเอารูปมาฝาก ไว้ว่างๆจะเอารูปใหญ่มาลงอีกทีนะครับ

Debate: The End of Poverty?

คุณ corgiman เขียนถึง concert ช่วยเหลือประเทศยากจนในแอฟริกามาสองสามตอนแล้ว ทำให้ผมนึกถึง debate เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อสักสามสี่เดือนก่อน ตอนที่ Jeffrey Sachs ตีพิมพ์หนังสือของเขาชื่อ "The End of Povery: Economic Possibilities for Our Time" ที่เพื่อนซี้ของเขา Bono แห่งวง U2 เขียนคำนิยมให้ซะด้วย

เนื้อหาในหนังสือดังกล่าว อธิบาย The Big Plan ในการช่วยเหลือประเทศแอฟริกา โดยให้ประเทศร่ำรวยทุ่มเงินลงไปเพื่อสร้าง infrastructure ทางเศรษฐกิจ

หนังสือดังกล่าวถูกโจมตีจาก William Easterly ว่าฝันเฟื่อง ทำไม่ได้หรอก เพราะที่ผ่านมาหลายปี ประเทศเหล่านี้ก็ทุ่มเงินไปไม่รู้เท่าไร ความยากจนก็ไม่ได้หายไป

Jeffrey Sachs ก็เขียนจดหมายตอบ ลองไปอ่านกันดูนะครับ

ผมแน่ใจว่า debate เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับนักเศรษฐศาสตร์สองคนนี้เท่านั้น

ความยากจนมีอยู่จริงในแอฟริกา คนจำนวนมากกำลังล้มตายเพราะไม่มีอาหารจะกิน คนเหล่านี้ควรได้รับความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

แต่หลายคนก็ตั้งคำถามถึงการช่วยเหลือประเทศที่ยากจน ว่าควรทำอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุด ประเทศเหล่านี้มีศักยภาพในการ absorb ความช่วยเหลือขนาดไหน และการช่วยเหลือจะเป็นการ "ช่วยเหลือ" หรือ "ทำร้าย" ประเทศเหล่านี้กันแน่ ผมว่าน่าคิดนะครับ เพราะคำถามว่าความช่วยเหลือส่งไปที่ไหน และอย่างไร น่าจะสำคัญพอๆกับว่า เราควรจะส่งความช่วยเหลือไปเท่าไร

คุณละครับ คิดว่าไง?




ไม่นานมานี้ผมคุยกับเพื่อนที่เพิ่งจะกลับจากประเทศ "กาบอง" ซึ่งเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดประเทศหนึ่งในแอฟริกา เพราะมีน้ำมันดิบ เพื่อนผมเล่าให้ฟังว่า ของกินเกือบทุกอย่างต้องนำเข้าจากฝรั่งเศส ทำให้ค่าครองชีพแพงยิ่งกว่าฝรั่งเศสอีก เพราะคนที่นี่ไม่ผลิตอะไรเลย (ผมไม่แน่ใจว่าพื้นที่แห้งแล้งจนปลูกอะไรไม่ได้ หรือไม่มี incentive ที่จะทำอะไร)

ผมก็เลยสงสัยว่า เอ๊ะ แล้วเขาทำงานอะไรกัน เพื่อนผมบอกว่า ไม่ทำอะไร เป็น "civil servants" กันหมด (!)

อืมแปลกดี น่าสนใจนะครับ ขนาดประเทศร่ำรวยยังเป็นอย่างนี้ แล้วประเทศจนๆจะทำยังไง

Sunday, July 03, 2005

Movie review: War of the Worlds

เมื่อวานนี้ผมไปดูหนังเรื่อง War of the Worlds มาครับ ใครยังไม่ได้ดู และคิดว่าจะไปดู ขอความกรุณาอย่าอ่าน blog นี้ครับ จะทำให้เสียอรรถรสในการดูหนังไปอีกหลายขุม

เราเตือนท่านแล้ว!


==========================================


ตกลงไม่เปลี่ยนใจนะ หนังฟอร์มใหญ่ เพิ่งเข้าโรงนะ

หนัง Spielberg กำกับ มี Tom Cruise ด้วยนะ




อ่ะๆ ถ้าอยากอ่านต่อก็เชิญครับ


==========================================

ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ดูหนังเรื่องนี้จนจบแล้วน้ำตาซึมออกมานิดๆ

เปล่าครับ หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังเศร้า แต่อยากร้องไห้เพราะเสียดายตังค์

ผมว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังห่วยที่สุดเรื่องนึงที่ผมเคยดูมา ไม่แน่ใจว่าที่รู้สึกแบบนี้เพราะตั้งความหวังไว้มากกับ Spielberg หรือเปล่า ด้าน special effect ผมว่าดีนะ ดูแล้วไม่มีอะไรขัดตาเท่าไร แต่เรื่อง plot เรื่องนี่ห่วยบรรลัย มีช่องว่างเพียบ

ดูแล้วไม่แน่ใจว่าใครทำห่วย เพราะหนังเรื่องนี้เป็น remake ของหนังเก่า สมัย 1953 นู้น ผมยังไม่เคยดู version นี้ แต่คิดว่าถ้าเนื้อเรื่องห่วย เขาไม่น่าเอากลับมาทำใหม่

เนื้อเรื่องสั้นๆ (คำเตือน: สำหรับคนที่ยังอยากดูหนังเรื่องนี้ กรุณาข้ามช่วงนี้ไป) ก็คือ มนุษย์ต่างดาวมาฝังยานอวกาศไว้ใต้พื้นโลกเมื่อหลายล้านปีก่อน วันดีคืนดี พี่แกอยากมาบุกโลก ก็ส่งคนขับยานมาผ่านพายุสายฟ้า แล้วเจ้ายานอวกาศทั้งหลายก็โผล่มาจากพื้นโลก ไล่ฆ่าคนเอาไปทำปุ๋ย ด้านพระเอก (Tom Cruise) ก็พาลูกสองคน (Dakota Fanning กับ Justin Chatwin) หนี เพื่อไปหาแม่ของลูก (เมียเก่า) ที่เดินทางไปบ้านตายายที่ Boston

ตอนต้นๆเรื่องผมก็ยังว่าโอเค special effect ทำให้หนังตื่นเต้นได้พอสมควร (อย่างน้อยผมก็ไม่หลับ) แต่ก็มีช่องว่างแปลกๆ เช่นว่า ตอนมีพายุสายฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างเสียหมด แต่มีนักท่องเที่ยว ถือกล้องวีดีโอถ่ายยานอวกาศเฉยเลย

แต่ที่น่าโดนประนามคือ plot เรื่องครับ ทิ้งคำถามให้คนดูค่อนข้างเยอะ เช่นว่า ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์อวกาศถึงต้องมาฝังยานไว้เมื่อล้านปีก่อน แล้วอยากจะมายึดโลกเอาตอนนี้ แล้วต้องใช้เทคโนโลยียานเก่าอายุล้านปีมาไล่ฆ่าคน ทำไมไม่ยึดซะตั้งแต่ตอนเอายานมาฝังนะ? ทำไมถึงปล่อยให้คนทำโลกพังยับเยินแล้วเปลี่ยนใจมาอยากได้? แล้วยานพี่แกเจ๋งสุดๆ แต่ต้องไล่ฆ่าคนทีละคน ทำไมไม่ยิงตูมเดียวให้ตายเลย

และที่ขัดใจผมสุดๆคือตอนจบ สมกับเป็นหนัง hollywood คือ build อารมณ์ประมาณว่ายานอวกาศนี้ไม่มีใครชนะได้ แล้วอยู่ดีๆก็คนก็ทำลายได้เพราะมนุษย์อวกาศทนเชื้อโรคในโลกไม่ไหว และคำอธิบาย climax อันนี้นำเสนอโดนใช้คนบรรยาย แว๊บเดียว ผ่านมาแล้วผ่านไป คนไม่ได้ฟังตรงนี้คงมึนว่าเกิดอะไรขึ้น ผมว่าตรงนี้น่าจะทำได้ดีกว่านี้ อีกอันที่มึนสุดๆคือ ญาติพี่น้องพระเอกไม่มีใครตายเลย อันนี้คนในโรงโห่เลย ที่อื่นคนวิ่งหนีกันอลหม่าน บ้านเมียพระเอกอยู่กันอย่างสงบเฉยเลย แปลกดี

ดูจบแล้วรู้สึกเหมือนกับประมาณ หนังต่อของ ID4 หรือ พวกหนังมนุษย์ต่างดาวบุกทั่วไป ไม่มีอะไรใหม่

เรื่องนี้จะมีส่วนดีก็คือลูกสาว (Dakota Fanning ) ครับ น่ารัก เล่นดีใช้ได้ และหนังพยายามเดินเรื่องโดยเน้นความสัมพันธ์ระหว่าง Tom Cruise กับลูกสาว ที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆระหว่างที่วิ่งหนีมนุษย์ต่างดาว ทำให้ตัวลูกสาวเป็นจุดเด่นของหนังเลย

แต่ยังไงโดยรวมส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบครับ แต่ใครอยากดู special effect อย่างเดียว หรืออยากรู้ว่าหนังห่วย Spielberg เป็นไง ต้องไปดูครับ