Monday, November 21, 2005

แนะนำของเล่นใหม่ skype

เมื่อสักสองสามเดือนก่อน หลายๆคนคงได้ยินข่าว e-bay ทุ่มเงิน(และหุ้น)กว่าสองพันห้าร้อยล้านเหรียญ (ใช่ครับ สองพันห้าร้อยล้านเหรียญ หรือแค่ประมาณสักแสนล้านบาทเท่านั้นเอง) ซื้อบริษัทน้องใหม่อายุไม่เกินสองปี ชื่อ skype ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการการสื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ท ผมเข้าใจว่าบริษัทนี้ตั้งแต่ตั้งมายังไม่กำไรเลย และทำรายได้ 7 ล้านเหรียญ (ครับผม เจ็ดล้านเหรียญ)ในปี 2004 และคาดว่าจะมีรายได้ 60 ล้านเหรียญในปีนี้ครับ

คุ้มหรือเปล่าไม่รู้ครับ แต่ที่แน่ๆดีลนี้ทำให้ตลาด IT คึกคักขึ้นมาอีกรอบ หลังจากซบเซาไปนาน อย่างว่าครับ น้ำขึ้นต้องรีบตักครับ ถ้ายังจำกันได้ ช่วง peak ของ internet bubble บริษัทอย่าง AOL สามารถเอาหุ้นตัวเองไปรวมกะยักษ์ใหญ่วงการสื่ออย่าง CNN/Time Warner ทั้งกลุ่มมาแล้ว ทุกวันนี้เห็น Time Warner ยังตีอกชกหัวว่าไปรวมกะเขาทำหม้าย เพราะรวมกันปุ๊บ กำไรที่ได้จากธุรกิจฟาก AOL ก็ลดฮวบฮาบ จนมูลค่าหดหายไปมากทีเดียว

เปล่าครับ ที่เขียนนี่ไม่ได้จะวิเคราะห์ธุรกิจ IT ครับ แต่จะมาชวนเล่น skype ครับ (ใครเล่นอยู่ก็ไม่ต้องอ่านต่อก็ได้ครับ)

งานหลักอันนึงของ skype คือให้บริการ voice over IP ครับ และเขาก็มีโปรแกรมชื่อ skype ให้โหลดมาเล่นฟรีๆ หน้าตาคล้ายๆ msn messenger ครับ แต่นอกจากจะ chat กันได้แล้ว ยังคุยกันได้เหมือนโทรศัพท์อีกด้วย ได้ข่าวว่าเสียงชัดพอควรทีเดียว แต่ที่เด็ดกว่าคือเป็นโปรแกรมใหม่ network ส่วนใหญ่ยังไม่กั้น port นี้ เพราะงั้นหมดปัญหาเล่นที่ทำงานไม่ได้ หุหุ

ถ้าไม่กลัวไม่ได้ทำงานไปโหลดมาเล่นกันได้ครับ www.skype.com

Saturday, November 19, 2005

กลับบ้านเรา...รักรออยู่

จะกลับเมืองไทยละคร้าบ เจอกันเมืองไทยครับ

กะกลับไปกินเต็มที่ ใครมีร้านอาหารแนะนำ รบกวนบอกกันนิดนึงนะครับ

Wednesday, November 09, 2005

แนะนำหนังสือ

พอดีไปเห็นหนังสือมาสองเล่มดูน่าสนใจดี เลยเอามาโฆษณาครับ

เล่มแรกนี่ ชื่อ The Travels of a T-Shirt in the Global Economy: An Economist Examines the Markets, Power, and Politics of World Trade เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางของเสื้อยืด จะเป็นยังไงต้องลองอ่านดูครับ มีบทสัมภาษณ์คนเขียน ใน book forum ด้วยครับ ลองไปอ่านดูนะครับ






อีกเล่มนี่ชื่อ And the Money Kept Rolling In (and Out): Wall Street, the IMF, and the Bankrupting of Argentina ใครเคยอ่านเรื่อง The Chastening แล้วชอบไม่ควรพลาดเล่มนี้ครับ ผมเพิ่งได้มา ยังไม่ได้อ่านเลยครับ อ่านจบแล้วจะมาเล่าให้ฟังนะครับ

Tuesday, November 08, 2005

ขึ้นบ้านใหม่ Gallery by Kickoman

เห็นนาย saruj ขึ้นบ้านใหม่ทีนึงสองบ้าน เลยขอขึ้นบ้านใหม่กะเขาบ้าง เป็นบ้านที่เพิ่งสร้างเสร็จ ยังไม่ได้ย้ายเข้าไปอยู่ แต่ย้ายของเข้าไปบ้างแล้ว

ใครผ่านไปผ่านมา ไปแอบดู Gallery by Kickoman ได้ที่ www.kickoman.com/gallery นะครับ ฝากเขียนคำติชมได้ตามระเบียบนะครับ

อ้อ ผ่านไปผ่านมา อย่าลืม ทำ "การบ้าน" ข้อสอง ไม่ต้องเป็นนักเศรษฐศาสตร์ก็ได้นะครับ อยากทราบความเห็น ไม่มีผิดถูกอยู่แล้ว =)

Friday, November 04, 2005

ข้อสอบกลางภาควิชาหลักเศรษฐศาสตร์ (ตอนที่สอง)

หลังจากถามข้อแรกทิ้งไว้นาน ได้เวลากลับมาตอบคำถามข้อแรก และถามคำถามข้อสองแล้วครับ

ก่อนอ่านข้อสอง ถ้าใครยังไม่ได้อ่านคำถามข้อแรกและคำตอบที่มีผู้ร่วมสนุกมากมายเชิญไปอ่านที่นี่ก่อนนะครับ ท่าน corgiman ที่พักหลังเริ่มห่างหายจากวงการ ให้ความกรุณาแปะคำตอบไว้บนบลอกของท่านด้วย

จริงๆแล้ว ผมว่าคำถามข้อแรกของผมมันชี้นำไปหน่อย จริงๆน่าจะถามเพิ่มว่า ในฐานะที่เป็นผู้ควบคุมนโยบาย ท่านควรจะทำอะไรหรือไม่ นอกเหนือจากคำถามว่า จะทำอย่างไร

ผมว่าน่าสนใจเหมือนกันว่า อะไรคือบทบาทของ "รัฐ" ในการจัดการกับปัญหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

คุณ corgiman จากสำนัก midway ให้ความเห็นว่า รัฐไม่ควรทำอะไรปล่อยให้กลไกตลาดมันจัดการตัวมันเอง คุณ biggie บอกว่าตัดค่าใช้จ่ายภาครัฐ และค่อยๆทยอยปล่อยค่าเงินให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น (แต่บอกแล้วนะครับ ว่าเจ้าของประเทศไม่อยากปรับค่าเงิน)

ในกรณีสมมุตินี้ เครื่องชี้นำว่าประเทศนี้อาจจะมีปัญหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ คือตัวเลขการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูงขึ้น

สำหรับคนที่ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์โดยกำเนิด อาจสงสัยว่าบัญชีเดินสะพัดนี่ มันเดินไปไหน แล้วสะพัดยังไง ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า current account ครับ มันคือบัญชีบันทึกการไหลเข้าออกของทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับ real transactions (ตรงข้ามกับ financial transactions) ซึ่งรวมไปถึงการนำเข้า ส่งออก สินค้าและบริการ และค่าตอบแทนปัจจัยการผลิต (เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล ฯลฯ)

บัญชีเดินสะพัดเป็นส่วนหนึ่งของดุลการชำระเงิน (balance of payment) ซึ่งบันทึกเงินที่ไหลเข้าออกประเทศ อีกส่วนหนึ่งใหญ่ๆของดุลชำระเงินคือ บัญชีการเงิน (financial account) ถ้าใครเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์สมัยก่อน เขาเรียกบัญชีทุน หรือ capital account ครับ ซึ่งบันทึกเงินไหลเข้าออกที่เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นและลดลงของทรัพย์สินและหนี้สิน เช่น การชำระค่าสินค้าและบริการ เงินกู้ที่ต่างประเทศ เงินทุนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หรือเงินทุนต่างชาติที่เอาเข้ามาตั้งโรงงานในประเทศ

หรือพูดแบบง่ายๆ (โดยไม่พิจารณาเงินทุนสำรอง) ได้ว่า ดุลบัญชีเดินสะพัด + ดุลบัญชีการเงิน = ดุลการชำระเงิน นั่นเอง


ผมว่าผมอาจจะต้องถอยกลับมาก้าวหนึ่งก่อน แล้วถามใหม่ว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลสูงขึ้นน่ะ เป็นสัญญาณบอกว่าประเทศนี้มีปัญหาเสถียรภาพหรือเปล่า

เอ...แต่ทำไมใครต่อใครต้องไปสนใจเรื่องปัญหาดุลบัญชีเดินสะพัดด้วยละ ถ้าเราเกินดุลการชำระเงิน แปลว่าเราได้เงินตราต่างประเทศมากกว่าที่เราจ่ายออกไป และเราสะสมทุนสำรองเพิ่มขึ้นทุกปี ก็น่าจะสบายใจได้แล้วนี่หน่า

แต่ผู้รู้หลายๆท่านบอกว่า ถ้าบัญชีเดินสะพัดขาดดุล แปลว่าเราต้องมีบัญชีการเงินที่ได้ดุล (surplus) เราถึงจะอยู่ได้ แต่เจ้าบัญชีการเงินเนี่ยมันไม่ยั่งยืน วัน(ไม่)ดีคืน(ไม่)ดี มันอาจจะหยุดไหลเข้าเอาดื้อๆ แล้วเราอาจจะมีปัญหาดุลการชำระเงินได้ คือมีเงินตราต่างประเทศที่เราไม่พอกับเงินตราต่างประเทศที่เราต้องจ่ายออก (จำเมืองไทยปี 2540 ได้ไหมครับ)

หลายคนอาจจะเถียงว่า เมืองไทยสมัยก่อนวิกฤตน่ะ มีหนี้ระยะสั้นเข้ามาเยอะ เลยทำให้บัญชีการเงินได้ดุล พอเกิดวิกฤต เจ้าหนี้อยากได้เงินคืน ก็เลยมีปัญหา แต่ประเทศนี้น่ะ เงินไหลเข้าเป็น FDI ทั้งน้าน โนพลอมแพลม...

เอ้า อันนี้ก็เถียงกันได้ครับ

อ่ะ เอาเป็นว่า ผมสมมุติให้ว่า ความเสี่ยงต่อวิกฤตมันสูงขึ้นก็แล้วกัน

กลับมาที่ปัญหาข้อสอง ที่ผมอยากถามละกัน (เฮ้อ กว่าจะมาได้...)

ในการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคเนี่ย รัฐมีเครื่องมือใหญ่ๆสองอัน คือ ไม่นโยบายการคลัง ก็นโยบายการเงิน แต่ในเหตุการณ์สมมุตินี้ รัฐเหมือนโดนมัดมือไว้ข้างหนึ่ง ไม่สามารถใช้นโยบายการเงินได้ เพราะมันไม่ได้ผล งานจึงตกอยู่กับนโยบายการคลัง

ถ้ารัฐอยากลดแรงกดดันที่มีต่อดุลบัญชีเดินสะพัดเนี่ย ตำราเศรษฐศาสตร์มหภาคเล่มไหนๆบอกไว้ว่า ต้องรัฐรัดเข็มขัดอุปสงค์ภายในประเทศ หรือในแง่ของนโยบายการคลังก็คือ ตัดรายจ่าย หรือไม่ก็ขึ้นภาษี (เพราะ X-M=Y-C-G-I) (เพราะรัฐไม่สามารถเข้าไปทำอะไรกับความสามารถทางการแข่งขันได้ ในระยะสั้น)

ทีนี้รัฐก็อยู่ในสภาวะได้อย่างเสียอย่าง คือถ้าไม่ทำอะไร ประเทศก็เติบโตไปเรื่อย แต่ความเสี่ยงที่เกิดวิกฤตก็สูงขึ้น (อย่างที่บอกครับ สมมุติว่ามันสูงขึ้นละกัน) แต่ถ้าทำอย่างตำราเศรษฐศาสตร์ว่าไว้ ก็คือตัดรายจ่าย หรือขึ้นภาษี ก็อาจจะลดความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตได้ แต่ก็ต้องแลกกับอัตราการเจริญเติบโตที่ลดลง หรือต้องไปอธิบายกับประชาชนว่าทำไมถึงจะต้องตัดงบสร้างถนน หรือลดจำนวนข้าราชการด้วย (ซึ่งประชาชนอาจจะฟังไม่เข้าใจ และทำให้ท่านแพ้เลือกตั้งคราวหน้าได้)

คำถามคือว่าถ้าท่านเป็นรัฐบาล ท่านจะทำยังไง จะเลือกทางเลือกแบบไหน (หรือถ้ามีทางเลือกทางอื่นก็บอกมาได้นะครับ) และเพราะอะไร

แน๊ เริ่มเหมือนข้อสอบจริงขึ้นทุกที

เอ้า เริ่มทำข้อสอบได้ครับ....