Sunday, October 30, 2005

daylight saving

วันนี้คนที่อยู่ในหลายๆประเทศคงตื่นมาแบบสบายใจ เพราะได้นอนต่ออีกชั่วโมงนึง (ถ้าไม่ลืมว่าต้องปรับนาฬิกาแล้วนะครับ) เพราะวันนี้เป็นวันที่ปรับ daylight saving time กลับไปเป็นเวลาปกติ อย่าลืมนะครับว่า เมื่อคืนนี้เวลาเดินจาก ตึหนึ่งห้าสิบเก้านาที กลับไปตีหนึ่งอีกรอบนึง เพราะงั้นตื่นมาแล้วต้องปรับนาฬิกาย้อนกลับไปหนึ่งชั่วโมงครับ

คนที่อยู่เมืองไทยไม่ต้องปรับไปกะเขานะครับ เดี๋ยวเกิดผิดนัดสาวๆ แล้วจะมาบอกว่าปรับเวลาตาม daylight saving นี่จะซวยเอานะครับ

ก่อนที่ผมจะมาถามคำถามข้อสอบกลางภาคข้อสอง (เพราะเขียนไม่ทัน) ขออนุญาตเล่าเรื่อง daylight saving นี่ก่อนแล้วกันครับ เดี๋ยวจะตก trend ไปเสียเปล่า

หลายๆคนคงจะเคยสงสัยเหมือนผมตอนมาต่างประเทศใหม่ๆว่า ไอ้ daylight saving ทำไมเขาถึงต้องเปลี่ยนนาฬิกาให้ยุ่งยากด้วย แล้วนอกจากประเทศที่เราอยู่เนี่ย ประเทศอื่นเขาปรับนาฬิกากันหรือเปล่า

เจ้า daylight saving เนี่ย ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วครับ ว่าปรับเพื่อ "ประหยัด" แสงอาทิตย์ เพราะอะไรเหรอครับ ก็เพราะว่าโลกเอียงครับ ขณะที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ประเทศที่อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมาก (ทั้งซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้) จะมีเวลากลางคืนกับกลางวันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในฤดูร้อนจะมีเวลากลางวันยาวกว่ากลางคืน และกลางคืนยาวกว่ากลางวันในฤดูหนาว ประเทศที่อยู่เหนือหรือใต้มากๆ อาจจะเห็นพระอาทิตย์เกือบทั้งวันทั้งคืนในฤดูร้อน และอาจจะแทบไม่เห็นพระอาทิตย์เลยในฤดูหนาว

ทีนี้แทนที่จะ "เสีย" แสงอาทิตย์ไปเปล่าๆในช่วงเช้าที่คนเรายังนอนอยู่บนเตียง เขาก็แนะนำกันว่าปรับเอาแสงอาทิตย์ให้มันส่องนานขึ้นในตอนเย็นดีกว่า คนเราจะได้ไม่ต้องรีบเปิดไฟตอนกลับถึงบ้าน (มันยังสว่างอยู่ ไม่ต้องรีบกลับบ้านก็ได้)

เช่นว่าในอเมริกา ถ้าไม่ปรับ daylight saving เนี่ย ในฤดูร้อนพระอาทิตย์อาจจะส่องจากตีห้า ถึงสองทุ่ม เขาก็เลยปรับ daylight saving ไปสักชั่วโมง ให้มันสว่างจากหกโมงเช้า ถึงสามทุ่มแทน

มีการศึกษาแล้วพบว่า daylight saving เนี่ยช่วยประหยัดพลังงานได้จริงๆ อย่างน้อยก็สักหนึ่งเปอร์เซนต์ ต่อวัน ซึ่งถ้านับเป็นพลังงานที่ประหยัดได้ก็นับว่ามากโขอยู่ นอกจากนั้นแล้วยังพบอีกว่าการปรับเวลายังช่วยลดอุบัติเหตุ และอาชญกรรมอีกด้วย เพราะมีแสงอาทิตย์ในเวลาที่คนอยู่นอกบ้านเยอะขึ้น (อ่านเกี่ยวกับ day light saving และประโยชน์ของมันได้ที่นี่ครับ
http://www.energy.ca.gov/daylightsaving.html)

ทีนี้คงมีคนถามว่า แล้วทำไมต้องปรับกลับด้วยละ ถ้ามันประหยัดพลังงานก็ปล่อยให้พระอาทิตย์ตกตอนดึกๆทั้งปีเลยสิ ก็เพราะว่าพอฤดูหนาวมาเนี่ย ถ้าเราไม่ปรับกลับ กว่าพระอาทิตย์จะขึ้นก็คงเจ็ดแปดโมงเช้าแน่ๆ พลังงานที่ประหยัดได้ตอนกลางคืนเลยโดน offset จากพลังงานที่ใช้มากขึ้นในตอนเช้า (แล้วลองนึกดูว่าถ้าเจ็ดโมงเช้ายังไม่สว่าง นี่คนคงไปทำงานสายกันหมด)

เลยมีคนพูดให้จำกันง่ายๆว่า ฤดูไหนจะปรับเวลาไปข้างหน้าหรือย้อนไปข้างหลังว่า "spring forward, fall back" ก็คือว่า ถ้าเป็นฤดูใบไม้ผลิ เราจะปรับเวลาไปข้างหน้า (spring แปลว่ากระโดด ก็ต้องกระโดดไปข้างหน้า) ส่วนถ้าเป็นฤดูใบไม้ร่วง อย่างเช่นวันนี้ เราก็ต้องปรับเวลาย้อนไป (fall แปลว่าล้ม ก็ต้องล้มไปข้างหลัง)

ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ลองดูจากภาพข้างล่างนี้ครับ (ที่มา http://webexhibits.org/daylightsaving/c.html) ลองเอาเมาส์ไปวางบนแผนที่แล้วลองดูเวลากลางคืนกลางวันที่เปลี่ยนไปในแต่ละเดือนสิครับ









แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกประเทศจะมี daylight saving time กันหมดนะครับ (เห็นชัดๆอย่างเมืองไทยไม่เห็นต้องปรับ) ลองดูแผนที่ข้างล่างนี้ครับ ประเทศสีเหลืองคือประเทศที่ปรับ daylight saving time และประเทศสีเทาไม่ได้ปรับครับ และที่น่าสนใจคือประเทศซึกโลกเหนือกับประเทศซึกโลกใต้ จะปรับเวลากลับกัน เพราะงั้นประเทศอย่างชิลี อาจจะมีเวลาตรงกลับเวลา eastern ของอเมริกาในบางช่วงของปี และห่างกันสองชั่วโมงในอีกช่วงของปี


แต่ละประเทศก็กำหนดวันที่ปรับเวลาต่างกันไป ในปัจจุบัน อเมริกาก็จะปรับกันวันอาทิตย์แรกของเดือนเมษายน และปรับกลับอีกทีวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคม (ก็คือวันนี้นั่นเอง) ส่วนประเทศส่วนใหญ่ทางยุโรป จะปรับเวลาเข้าสู่ daylight saving time ก่อนหน้านั้นอาทิตย์นึง (วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคม) และก็ปรับเข้าเวลาปกติพร้อมกัน แต่กฎหมายพลังงานที่เพิ่งผ่านสภาของสหรัฐอเมริกาไปกำหนดให้ยืดเวลา daylight saving ไปอีกเดือนนึงครับ เริ่มตั้งแต่ปี 2007 daylight saving จะเริ่มปรับกันตั้งแต่อาทิตย์ที่สองขึ้นเดือนมีนาคม จนถึงอาทิตย์แรกของเดือนพฤศจิกายน เข้าใจว่าเพื่อยืดเวลาให้ประหยัดกันอีกหน่อย ลองกด link (ยังไม่กล้าสะกดเป็นภาษาไทยกลัวผิด อิอิ) บนแผนที่ข้างบน ดูว่าแต่ละประเทศเปลี่ยนเข้าสู่ daylight saving time กันวันไหนนะครับ

อ่ะทีนี้ พอเข้าใจแล้วว่า daylight saving คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรแล้ว สงสัยกันไปต่อหรือเปล่าครับ ว่าใครนะช่างคิด เขาว่ากันว่า ความคิดนี้ย้อนไปถึง Benjamin Flanklin นักคิดและนักการเมืองชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขียนไว้ตั้งแต่ปี 1784 ในบทความชื่อ "An Economical Project" สมัยเป็นทูตอยู่ที่ฝรั่งเศส (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ประวัติ day light saving ได้ที่นี่ครับ http://webexhibits.org/daylightsaving/index.html)

ซึ่งความคิดนี้ก็ได้รับการพัฒนา ดัดแปลง แก้ไข เรื่อยมาจนปัจจุบัน (และก็ยังเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ) เจ้า daylight saving นี้ยังใช้เป็นเครื่องมือในการประหยัดพลังงานแบบสุดโต่ง ช่วงสงครามโลก และเชื่อไหมละครับว่าเมื่อปี 2001 ตอนที่ รัฐ California เกิดวิกฤตการณ์พลังงานครั้งใหญ่ ยังมีการเสนอให้ใช้ daylight saving กันทั้งปีเพื่อประหยัดพลังงานเลย แต่เกิดเหตุการณ์ 9/11 ซะก่อน กฎหมายนี้เลยไม่ได้ผ่าน congress และก็ไม่ได้มีการเสนอกลับเข้ามาใหม่ เพราะวิกฤตการณ์พลังงานคลี่คลายไปพอดี

เหนื่อยพอดี...อ่านจบแล้วอย่าลืมปรับเวลาด้วยนะครับ ผมยังไม่ได้ปรับเลย...


ใครสนใจ แนะนำให้ไปอ่านหนังสือเล่มนี้ครับ "Seize the Daylight: The Curious and Contentious Story of Daylight Saving Time" ผมยังไม่ได้อ่านหรอกครับ แต่ท่าทางน่าสนุกดี มี quote ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่น่าสนใจเช่น






"An extra yawn one morning in the springtime, an extra snooze one night in the autumn is all that we ask in return for dazzling gifts. We borrow an hour one night in April; we pay it back with golden interest five months later."
—Winston Churchill

"Daylight time, a monstrosity in timekeeping."
—Harry Truman

"It seems very strange . . . that in the course of the world's history so obvious an improvement should never have been adopted. . . . The next generation of Britishers would be the better for having had this extra hour of daylight in their childhood."
—Sir Arthur Conan Doyle

Wednesday, October 26, 2005

ข้อสอบกลางภาค หลักเศรษฐศาสตร์ 2

เอ้า นักศึกษา เข้าห้องสอบได้แล้วครับ วันนี้มีคำถามมาถามท่านนักเศรษฐศาสตร์ และไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลาย

ถ้าท่านเป็นผู้กำหนดนโยบาย (ไม่ต้องเป็นรัฐมนตรีคลัง หรือผู้ว่าแบงค์ชาติก็ได้นะครับ เป็นนายกฯก็ได้) ของประเทศกำลังพัฒนาประเทศหนึ่ง ประเทศของท่านใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ เงินตราไหลเข้าออกประเทศได้สบายๆ และประเทศของท่านก็กำลังเป็นที่สนใจของนักลงทุน ทุนนอกไหลเข้าแบบสนุกสนาน(คิดถึงประเทศเอเชียก่อนวิกฤตไว้ครับ)

ด้วยความที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาแบบร้อนแรง การบริโภคและการลงทุนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การนำเข้าก็สูงขึ้น (ทั้งการนำเข้าสินค้าบริโภค และสินค้าวัตถุดิบ) แต่การส่งออกเริ่มแย่ลง เพราะค่าแรงงานของประเทศท่านเริ่มสูง ความสามารถทางการแข่งขันเริ่มสู้ประเทศแรงงานถูกไม่ได้ซะแล้ว ส่งผลให้ทุนบัญชีเดินสะพัดของประเทศของท่านขาดดุลแบบน่ากลัว (เอาแบบมากกว่าร้อยละสิบของผลผลิตมวลรวมประชาชาติเลย)

ด้วยความจำเป็นบางประการ คุณไม่สามารถใช้นโยบายปิดกันทุนนอกได้ นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนก็เปลี่ยนไม่ได้ ต้องคงค่าไว้อย่างนั้น

คำถามข้อแรก...ในฐานะที่คุณเป็นรัฐบาล คุณจะทำอย่างไรในระยะสั้น เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ที่อาจนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเงินได้

อ่า ใครว่างๆ ตอบคำถามข้อแรกก่อน แล้วเดี๋ยวจะมาถามคำถามข้อสองครับ

Saturday, October 15, 2005

ชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมา

เคยสงสัยกันหรือเปล่าครับ ว่าบรรดาชื่อยี่ห้อสินค้า ห้างร้าน ที่เราได้ยินติดหู พูดกันติดปากทั้งหลายน่ะ เขาชื่อเอามาจากไหนกัน ถ้าไม่นับพวกที่ใช้ชื่อตัวเองมาตั้ง (ซึ่งก็น่าสนใจอยู่ แต่ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร) ที่มาของชื่อบางอันน่าสนใจดีครับ ลองดูกันเล่นๆ

ใครรู้เปล่าครับว่า ชื่อ “google” search engine อันดับต้นๆของโลกน่ะ มาจากไหน เขาบอกว่าเอามาจากคำว่า googol ซึ่งคือหน่วยนับที่แทนด้วยเลขศูนย์ 100 ตัว (หรือ สิบยกกำลังร้อยนั่นเอง) ไม่รู้แล้วครับว่าภาษาไทยจะเรียกอะไร คงจะเรียกว่า “หมื่น ล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” นับไม้ยมกได้สิบห้าตัว เหวอ..... เขาตั้งชื่อนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงจำนวนข้อมูลมหาศาลในโลกอินเตอร์เน็ท ที่เจ้า search engine นี้สามารถครอบคลุมได้

ส่วน IKEA ร้านเฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่ราคาประหยัดขวัญใจเด็กนักเรียน และคนทำงานทุนน้อยแบบผม เขาบอกว่าชื่อนี้ได้มา เพราะผู้ก่อตั้งชื่อ Ingvar Kamprad ซึ่งบ้านเขาเป็นฟาร์มชื่อ Elmtaryd ใกล้หมู่บ้าน Agunnaryd ในสวีเดน

ร้านกาแฟยอดนิยม starbucks นั้น ตั้งชื่อตามตัวละคร starbuck ในเรื่อง Moby Dick นวนิยายสุดคลาสสิค

แล้วยางยอดฮิต “Bridgestone” ละครับ เขาบอกว่า มาจากชื่อเจ้าของ Shojiro Ishibashi ซึ่งนามสกุลของเขาแปลตามตัวได้ว่า “stone bridge”

ส่วนรองเท้า Nike นั้น ตั้งชื่อตามเทพเจ้า Nike ของกรีก ซึ่งเป็นเครื่องหมายของชัยชนะ และยังวิ่งและบินเร็วอีกด้วย

ใครรู้ที่มาของชื่อน่าสนใจๆอย่างอื่น มาแบ่งกันได้นะครับ

kickoman รายงานจากเมือง Sandanski, Bulgaria

Tuesday, October 04, 2005

กลับมาแล้ว...

หายไปซะหลายวันครับ พอดียุ่งๆกับเรื่องย้ายบ้าน ย้ายห้องทำงาน ย้ายแผนก เตรียมประชุม เที่ยว ฯลฯ เลยไม่มีเวลามาเขียนบลอก

เห็นว่าหนังสือรวมบลอก (ชื่อ blog blog) ใกล้ออกแล้ว อย่าลืมไปอุดหนุนนะครับ

พอหายไปเลยไม่มีเวลาอ่านบลอกคนอื่นด้วย ไว้จะพยายามตามไปอ่านนะครับ

ช่วงที่ผ่านมามีเรื่องเยอะเลย แต่เสียดายไม่มีเวลาเขียนถึง

จริงๆแล้ววันก่อนพยายามจะพิมพ์เรื่องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาทีนึงแล้ว แต่ทิ้งไว้นานไปหน่อย พอกด publish มันก็เลยหายไปเลยทั้งอัน นั่งร้องไห้อยู่สองสามวัน ไว้มีพลังจะเขียนอีกทีละกันครับ

หลังจากย้ายบ้านแบบ full-scale ด้วยรถ u-haul 14 ฟุต 1 รอบ กับอีกไม่รู้กี่คันรถเก๋ง กระบวนการย้ายบ้านของผมก็สำเร็จ ตอนนี้เหลือแต่กำจัดกล่องทั้งหลาย ท่าทางจะใช้เวลาอีกหลายเพลานัก

อาทิตย์ก่อนผมไป conference แถวๆ San Francisco ยิ่งทำให้คิดถึงเมืองนี้เข้าไปใหญ่ สมัยก่อนขับรถสิบนาทีก็เจอทะเล เดี๋ยวนี้ขับไปสอง สามชั่วโมง เจอแต่ชายหาดปลอม ตูละเศร้า มิน่าละ เขาถึงบอกว่า I left my heart in San Francisco =)

ระหว่างรอขึ้นเครื่องบิน ผมไปนั่งแอบอ่าน the economist ฉบับที่แล้ว ที่สนามบิน เจอเรื่อง Global Imbalances เต็มไปหมดเลย ใครสนใจลองไปอ่านดูนะครับ

บทความอ่านฟรี: The great thrift shift




ไว้ว่างๆแล้วจะกลับมาเขียนอีกทีนะครับ